Friday, June 21, 2013
ธุรกิจ กับ อีโก้ ในศิลปะการต่อสู้
เพิ่งได้อ่านบทความของเพื่อนชาวต่างชาติคนนึง
เขียนเกี่ยวกับคนสอนศิลปะการต่อสู้ว่ามีอยู่สองแบบ คือ
1. ธุรกิจ
2. อีโก้
สมัยก่อนนั้นศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่ธุรกิจ ส่วนมากครูสอนด้วยอีโก้กันล้วน ๆ
(อีโก้ในที่นี้ คือ ความเป็นตัวของตัวเองสูงไม่ได้หมายความไม่ดีนะครับ)
เราจะเคยได้ยินเรื่องการฝึกที่ รับศิษย์ยาก ฝึกแบบไม่ง้อว่าจะอยู่หรือจะไป
โรงฝึกแบบนี้ก็มีอยู่ในปัจจุบันนะครับ
แต่หลัง ๆ มานี้โรงฝึกทั่วโลก เป็นแบบแรกมากกว่าแบบที่สอง
ที่กลายเป็นมองว่าเป็นลูกศิษย์เป็นลูกค้ามากกว่า
ถ้าใครอ่านเวปต่างประเทศหลัง ๆ เขาเขียนกันว่าMcDojo (แม็คโดโจ)
ซึ่งก็คือรูปแบบของเฟรนไซด์ มีการบริการลูกค้า ครูฝึกมักไม่มีสิทธิมีเสียงในโรงฝึกประเภทนี้
คนที่จะมีสิทธิ์กลายเป็นเจ้าของกิจการไป เพราะ จ้างครูฝึกมาสอน แล้วครูฝึกรับเงินจาก
เจ้าของกิจการอีกที ข้อเสียก็รู้ๆ ครับ บางทีคนมาเรียนน่ะเป็นเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้เรียน
บางทีเด็กเองไม่ได้อยากเรียนก็ทำตัวมีปัญหา ครูจะให้เด็กออกก็ไม่ได้ เพราะ ไม่มีอำนาจ
ส่วนเจ้าของกิจการก็ไม่ให้เด็กออกเพราะเรื่องเงินๆ ทอง ๆ ค้ำคอ มันเลยเละเทะไปเรื่อย
สมัยก่อนทำไมการสอนอยู่ด้วยอีโก้อยู่กันได้ ก็เพราะครูผู้สอนไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจ
ดังนั้นครูผู้สอนเกือบทุกคนก็มีงานมีการทำกันครับ
เหมือนที่อาจารย์ชิราอิชิ ชอบสอนว่าให้แบ่งเวลา ทำงาน เรียน ฝึกให้ดี
ถ้าทุกอย่างทำได้สำเร็จ ถึงจะเรียกว่าฝึกได้ประสบความสำเร็จจริง
ไม่ใช่ว่าฝึกอย่างเดียวจนทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น
ใช้ชีวิตเอาตัวรอดไม่ได้จะเรียกฝึกสำเร็จได้ยังไง
อาจารย์มาซึอะกิเองเมื่อก่อนเป็นหมอกระดูก อาจารย์ชิราอิชิมีบริษัทของตน
แล้วส่วนมากในญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดก็เป็นพนักงานบริษัทบ้าง ราชการบ้าง
ผมเคยอ่านเวปของสำนักยางิว ชินคาเกะ ริวเอง ก็ยังเขียนว่าอาจารย์ก็เป็นพนักงานบริษัทเหมือนกัน
โรงฝึกในญี่ปุ่นเองส่วนมากไม่มีการสอนคอร์สส่วนตัวแบบฝรั่ง เพราะแบบนี้แหละครับ
เมื่อไรที่โรงฝึกต้องอยู่ด้วยเงินของนักเรียน เมื่อนั้นจะกลายเป็น McDojo ไป
แต่เมื่ออาจารย์ไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจกับศิลปะการต่อสู้สามารถเคี่ยวนักเรียนได้เต็มที่
อีกอย่างนึงพอไม่ต้องสนใจเรื่องเงินมากก็ไม่ต้องสอนให้ราคาแพงมาก
ลูกศิษย์ที่ตั้งใจมาฝึกก็ได้ประโยชน์เต็ม ๆ
จนบางทีดูแปลกดีครับ ที่ ๆ สอนวิชาแบบถูกต้อง อาจารย์สอนแบบถูกต้อง
ไม่สนใจเรื่องเงินก็สอนกันถูก ๆ เพราะเน้นการเผยแพร่วิชา
เพราะ แพงไปกลัวลูกศิษย์ที่ตั้งใจจะเรียนไม่ได้ ในไทยมีอาจารย์น่านับถือแบบนี้ก็เยอะ
ส่วนบางทีคนเปิดโรงฝึกมาสอนวิชาเป็นธุรกิจ บางที่สอนวิชาปลอมแบบไม่ถูกต้อง
กลับคิดราคาแพงกว่าเสียอย่างงั้น
แต่จะดูที่ราคาอย่างเดียวก็ไม่ถูก บางทีที่ๆ สอนถูก ๆ สอนฟรีกลับกลายเป็นของปลอมก็มีเยอะ
เหมือนกับที่เคยเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ต้องดูกันดี ๆ
ผมเองเคยเจอมาเยอะ เมื่อก่อนก็เคยคิดว่าคนในวงการนี้เรียกตัวเองเป็นอาจารย์
จะมีเกียรติไม่น่าหลอกกัน แต่ยิ่งอยู่นานเข้า ๆ เจอกับตัวถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่อย่างที่คิด
ไม่ใช่แต่เฉพาะเมืองไทย เพราะที่เจอมาที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน
อันนี้ต้องอยู่กับคนมาฝึกแล้วครับ ว่าจะเลือกที่ฝึกของตนแบบไหน
บางทีเราคิดว่าเราเลือกวิชาที่ฝึก แต่บางทีแล้ววิชานี่แหละที่จะเลือกคนมาฝึกเอง
เวลาและการเรียนรู้ในบูโด
เขียนไปในเรื่องก่อนหน้าว่าอาจารย์ชิราอิชิ อายุเจ็ดสิบปีแล้ว และ อาจารย์มาซึอะกิอายุ แปดสิบปีแล้ว
บางคนอาจจะว่า ทำไมอาจารย์ระดับนี้ถึงยังมาฝึกกันอยู่อีก บ้านเราส่วนมากอายุขนาดนี้ก็ไม่ออกไปไหนกันแล้ว
สำหรับบูจินกันฝึกกันนาน ๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องดูที่ไหนไกลในโรงฝึกไทยเรานี่เอง
สิบกว่าปีที่ผ่านมาบางคนก็ฝึกตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา และฝึกมาจนถึงป่านนี้ที่กลายเป็นคนทำงานมีลูกกันไปแล้ว
ถ้าที่ต่างประเทศนี่ก็ฝึกกันจนตายไปข้างนึงเลยทีเดียว
บางคนอาจจะว่า ทำไมอาจารย์ระดับนี้ถึงยังมาฝึกกันอยู่อีก บ้านเราส่วนมากอายุขนาดนี้ก็ไม่ออกไปไหนกันแล้ว
สำหรับบูจินกันฝึกกันนาน ๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องดูที่ไหนไกลในโรงฝึกไทยเรานี่เอง
สิบกว่าปีที่ผ่านมาบางคนก็ฝึกตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา และฝึกมาจนถึงป่านนี้ที่กลายเป็นคนทำงานมีลูกกันไปแล้ว
ถ้าที่ต่างประเทศนี่ก็ฝึกกันจนตายไปข้างนึงเลยทีเดียว
คนไม่เข้าใจก็สงสัย….ฝึกอะไรกัน ทำไมใช้เวลาขนาดนั้น
ถ้าตอบสั้น ๆ ก็ว่า ศิลปะการต่อสู้นั้นใช้เวลาการเรียนรู้ทั้งชีวิต ไม่มีวันจบ
แต่ขออธิบายขึ้นมาหน่อย
ถ้าฝึกถูกทางคุณจะพัฒนาตนเองได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัดเวลาและอายุ
ยิ่งมาอายุมากขึ้นสิ่งที่เคยมีจะไม่มี สิ่งที่ไม่มีก็จะมี มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ได้ทั้งทางดีและไม่ดี
ไม่ว่าเทคนิคท่าทาง ความคิด ความเข้าใจทั้งหลายมันจะเปลี่ยนไป
เหมือนกับที่เราเห็นคนที่สมัยหนุ่ม ๆ สำมะเลเทเมา แต่พอแก่ก็เข้าวัดเข้าวานั่นแหละครับ
ร่างกายที่จากหนุ่มมีพลัง มีกล้ามเนื้อสวยงาม พอผ่านการใช้งานมากขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ทันไร
ก็เปลี่ยนไปเป็นไม่มีพลังและไม่มีกล้ามเนื้อ จะใช้วิธีเดิม ๆ ที่ฝึกมาแต่หนุ่มก็ไม่ได้
ก็ปรับก็แก้กันไปตามความเหมาะสม อะไรที่สมัยก่อนมองไม่เห็นหรือเข้าใจผิด
ฝึกนานไป ๆ ก็เริ่มมองเห็นขึ้นชัดขึ้น ถ้าไม่หลับตาหรือเลิกมองมันซะก่อน
สมัยหนุ่ม ๆ ใช้ร่างกายดี ๆ เข้าสู้ด้วยพลัง พอสักสามสี่สิบก็เริ่มหมดพลังซะแล้ว
ถ้าฝึกถูกทางคุณจะพัฒนาตนเองได้เรื่อย ๆ ไม่จำกัดเวลาและอายุ
ยิ่งมาอายุมากขึ้นสิ่งที่เคยมีจะไม่มี สิ่งที่ไม่มีก็จะมี มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ได้ทั้งทางดีและไม่ดี
ไม่ว่าเทคนิคท่าทาง ความคิด ความเข้าใจทั้งหลายมันจะเปลี่ยนไป
เหมือนกับที่เราเห็นคนที่สมัยหนุ่ม ๆ สำมะเลเทเมา แต่พอแก่ก็เข้าวัดเข้าวานั่นแหละครับ
ร่างกายที่จากหนุ่มมีพลัง มีกล้ามเนื้อสวยงาม พอผ่านการใช้งานมากขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ทันไร
ก็เปลี่ยนไปเป็นไม่มีพลังและไม่มีกล้ามเนื้อ จะใช้วิธีเดิม ๆ ที่ฝึกมาแต่หนุ่มก็ไม่ได้
ก็ปรับก็แก้กันไปตามความเหมาะสม อะไรที่สมัยก่อนมองไม่เห็นหรือเข้าใจผิด
ฝึกนานไป ๆ ก็เริ่มมองเห็นขึ้นชัดขึ้น ถ้าไม่หลับตาหรือเลิกมองมันซะก่อน
สมัยหนุ่ม ๆ ใช้ร่างกายดี ๆ เข้าสู้ด้วยพลัง พอสักสามสี่สิบก็เริ่มหมดพลังซะแล้ว
ในบูจินกัน นินโปเองไม่เหมือนวิชาอื่น ๆ การฝึกของบูจินกัน ไม่มี structure ที่บังคับเจาะจง นี่คือสิ่งที่ต่างจากหลายวิชา
ที่ว่าลูกศิษย์จะต้องเรียนอะไรบ้างในแต่ละครั้ง ถึงแม้จะมีตำรา Ten Chi Jin ที่อาจารย์มาซึอะกิเคยทำไว้
แต่ก็เป็นเพียง Reference ให้ผู้สอนทราบว่าตอนสอนในระดับเบื้องต้นควรสอนและผู้ฝึกควรรู้อะไรเป็นพื้นฐานขั้นต้น
แต่สิ่งที่ฝึกนั้นไม่ได้เป็นไปตามตำราเลย การฝึกของบูจินกันเองที่ถูกต้องแล้วจะไม่ยึดตามตำรา
แต่มาจากการฝึกที่ถ่ายทอดจากอาจารย์ ไม่ยึดตามท่าร่างหรือกาต้า (แต่มีกาต้า)
เพราะโดยมากการฝึกกาต้าจะต้องฝึกที่ henka
ดังนั้นจึงไม่สามารถเอามาสอบสายกันได้ว่า สายนี้ ๆ ต้องรู้เทคนิคอะไรแล้วบ้าง
เพราะทุกเทคนิคควรจะทำได้และพัฒนาควบคู่กันไปทั้งหมด
ที่ว่าลูกศิษย์จะต้องเรียนอะไรบ้างในแต่ละครั้ง ถึงแม้จะมีตำรา Ten Chi Jin ที่อาจารย์มาซึอะกิเคยทำไว้
แต่ก็เป็นเพียง Reference ให้ผู้สอนทราบว่าตอนสอนในระดับเบื้องต้นควรสอนและผู้ฝึกควรรู้อะไรเป็นพื้นฐานขั้นต้น
แต่สิ่งที่ฝึกนั้นไม่ได้เป็นไปตามตำราเลย การฝึกของบูจินกันเองที่ถูกต้องแล้วจะไม่ยึดตามตำรา
แต่มาจากการฝึกที่ถ่ายทอดจากอาจารย์ ไม่ยึดตามท่าร่างหรือกาต้า (แต่มีกาต้า)
เพราะโดยมากการฝึกกาต้าจะต้องฝึกที่ henka
ดังนั้นจึงไม่สามารถเอามาสอบสายกันได้ว่า สายนี้ ๆ ต้องรู้เทคนิคอะไรแล้วบ้าง
เพราะทุกเทคนิคควรจะทำได้และพัฒนาควบคู่กันไปทั้งหมด
การฝึกวิชาอย่างบูจินกันเป็นวิชาที่เหมือยจะง่าย ดูง่าย ในสายตาคนไม่เข้าใจ
หรือ แม้กระทั่งคนมาฝึกด้วยกันเอง ผมชอบเอาไปเทียบกับคณิตศาสตร์
คุณมีเครื่องหมายและตัวเลขที่จำกัด เด็กประถมจนถึงปริญญาเอกใช้ตัวเลขเดียวกัน
ถ้าเด็กประถมเห็นเด็กมัธยมเขียนสมการขึ้นมาสักอัน
เด็กประถมจะเข้าใจความหมายในระดับตัวเองเท่านั้น คือ รู้ตัวเลขว่าคืออะไรและเครื่องหมายบวกลบคูณหาร
เด็กมัธยมเองก็มีความเข้าใจในระดับตนเอง และ เด็กปริญญาเอกก็ต้องเข้าใจลึกลงไปในแก่นของสมการนั้น ๆ
การฝึกศิลปะการต่อสู้มักเป็นแบบนี้ ปีสองปีแรกมักเป็นปีที่ผู้ฝึกยังใหม่ ๆ จากไม่รู้แล้วเริ่มรู้ขึ้นมา
จนบางทีก็หลงตนไปกลายเป็นคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังเหลืออะไรให้เรียนอีกมาก
แล้วก็เลือกทางอื่นเดินไปเสียก่อน
หรือ แม้กระทั่งคนมาฝึกด้วยกันเอง ผมชอบเอาไปเทียบกับคณิตศาสตร์
คุณมีเครื่องหมายและตัวเลขที่จำกัด เด็กประถมจนถึงปริญญาเอกใช้ตัวเลขเดียวกัน
ถ้าเด็กประถมเห็นเด็กมัธยมเขียนสมการขึ้นมาสักอัน
เด็กประถมจะเข้าใจความหมายในระดับตัวเองเท่านั้น คือ รู้ตัวเลขว่าคืออะไรและเครื่องหมายบวกลบคูณหาร
เด็กมัธยมเองก็มีความเข้าใจในระดับตนเอง และ เด็กปริญญาเอกก็ต้องเข้าใจลึกลงไปในแก่นของสมการนั้น ๆ
การฝึกศิลปะการต่อสู้มักเป็นแบบนี้ ปีสองปีแรกมักเป็นปีที่ผู้ฝึกยังใหม่ ๆ จากไม่รู้แล้วเริ่มรู้ขึ้นมา
จนบางทีก็หลงตนไปกลายเป็นคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังเหลืออะไรให้เรียนอีกมาก
แล้วก็เลือกทางอื่นเดินไปเสียก่อน
หากเราดูหัวข้อการฝึกของบูจินกันที่ผ่าน ๆ มา จะพบแนวการสอนที่วางไว้อย่างเป็นระบบ
ช่วงยุค 80 เป็นช่วงเปิดวิชาต้น ๆ สอนพื้นฐาน และ เน้นการใช้ไทจุสสุ (ในแบบของกาต้า)
ช่วงยุค 90 ตอนต้น เมื่อนักเรียนมีพื้นฐานกัน เคลื่อนไหวกันเริ่มได้ก็สอนอาวุธต่าง ๆ เช่น ดาบ พลอง ง้าว พลองสั้น ดาบสั้น หอก
ช่วงยุค 90 ตอนหลังเป็นต้นมา สอนวิชาของแต่ละสาย(9 ริว) เนื่องจากพื้นฐานทั้งมือเปล่าและอาวุธได้แล้ว
จนช่วงปลายยุค 2000 เริ่มสอนเข้าสู่นินโป และ ลึกลงไปในความเข้าใจเรื่องนินจุสสุ และ อาวุธที่ผสมผสานในระดับสูงขึ้นไปอีก
ช่วงยุค 80 เป็นช่วงเปิดวิชาต้น ๆ สอนพื้นฐาน และ เน้นการใช้ไทจุสสุ (ในแบบของกาต้า)
ช่วงยุค 90 ตอนต้น เมื่อนักเรียนมีพื้นฐานกัน เคลื่อนไหวกันเริ่มได้ก็สอนอาวุธต่าง ๆ เช่น ดาบ พลอง ง้าว พลองสั้น ดาบสั้น หอก
ช่วงยุค 90 ตอนหลังเป็นต้นมา สอนวิชาของแต่ละสาย(9 ริว) เนื่องจากพื้นฐานทั้งมือเปล่าและอาวุธได้แล้ว
จนช่วงปลายยุค 2000 เริ่มสอนเข้าสู่นินโป และ ลึกลงไปในความเข้าใจเรื่องนินจุสสุ และ อาวุธที่ผสมผสานในระดับสูงขึ้นไปอีก
จะเห็นว่าการสอนของอาจารย์เรียงระดับ และเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนมานาน 20-30 ปี!
ที่จะเข้าสู่การฝึกของนินโป นินจุสสุ ที่ไม่ใช่แค่การฝึกท่าเท่านั้น
ดังนั้นคนที่เข้าฝึกหลายปีก่อนกับตอนนี้ บรรดาท่าร่างที่ใช้ฝึกต่าง ๆ แทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
อาจารย์มะซึอะกิ ถึงมักบอกว่าให้นักเรียนฝึกอย่างสม่ำเสมอ และเลือกครูผู้สอนที่ฝึกสม่ำเสมอเช่นกัน
ทำให้ในระบบของบูจินกันจึงมีการทำบัตรชิโดชิ(บัตรสมาคมผู้ฝึกสอน)ให้กับครูผู้สอน ที่ต้องต่ออายุทุกปี
เพราะต้องการคงคุณภาพของผู้สอน เพราะเราก็จะเห็นได้ว่าในต่างประเทศก็มีผู้สอนจำนวนมากโดยเฉพาะยุคแรก ๆ ฝึกปีสองปีไปเปิดโรงฝึก
แล้วก็เลิกฝึกตัวเองไปแล้ว บางทีฝึกมาปีสองปีเอาไปสอนเป็นสิบปีความรู้ตอนแรกไม่ถึงไหน และ ไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม (แล้วเอาอะไรไปสอน)
ยกตัวอย่าง อย่างที่เขียนไล่จำนวนปีข้างต้น หากคนเลิกฝึกไปเมื่อยุค 80 ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาวุธ ไม่ได้เรียนเรื่องนินโป ยังขาดความรู้อีกมาก
ยังไม่ได้ถึงระดับที่อาจารย์ต้องการถ่ายทอดออกมาด้วยซ้ำไป และ ยังไม่ได้รู้สิ่งที่อาจารย์สอนในช่วงหลัง ๆ
ที่จะเข้าสู่การฝึกของนินโป นินจุสสุ ที่ไม่ใช่แค่การฝึกท่าเท่านั้น
ดังนั้นคนที่เข้าฝึกหลายปีก่อนกับตอนนี้ บรรดาท่าร่างที่ใช้ฝึกต่าง ๆ แทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
อาจารย์มะซึอะกิ ถึงมักบอกว่าให้นักเรียนฝึกอย่างสม่ำเสมอ และเลือกครูผู้สอนที่ฝึกสม่ำเสมอเช่นกัน
ทำให้ในระบบของบูจินกันจึงมีการทำบัตรชิโดชิ(บัตรสมาคมผู้ฝึกสอน)ให้กับครูผู้สอน ที่ต้องต่ออายุทุกปี
เพราะต้องการคงคุณภาพของผู้สอน เพราะเราก็จะเห็นได้ว่าในต่างประเทศก็มีผู้สอนจำนวนมากโดยเฉพาะยุคแรก ๆ ฝึกปีสองปีไปเปิดโรงฝึก
แล้วก็เลิกฝึกตัวเองไปแล้ว บางทีฝึกมาปีสองปีเอาไปสอนเป็นสิบปีความรู้ตอนแรกไม่ถึงไหน และ ไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม (แล้วเอาอะไรไปสอน)
ยกตัวอย่าง อย่างที่เขียนไล่จำนวนปีข้างต้น หากคนเลิกฝึกไปเมื่อยุค 80 ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาวุธ ไม่ได้เรียนเรื่องนินโป ยังขาดความรู้อีกมาก
ยังไม่ได้ถึงระดับที่อาจารย์ต้องการถ่ายทอดออกมาด้วยซ้ำไป และ ยังไม่ได้รู้สิ่งที่อาจารย์สอนในช่วงหลัง ๆ
(นอกจากนั้นการเข้าฝึกกับอาจารย์ก็เป็นโอกาสดีที่คนสอนแต่ละคนจะเอาน้ำออกจากแก้วในแต่ละปี)
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ชิราอิชิก็เน้นย้ำสม่ำเสมอว่า อย่ารีบอย่าเร่งตัวเองเกินไป
คนแต่ละคนจะมีพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนขั้นบันไดทีละก้าว ๆ สูงขึ้นไป ขอให้ค้นหาตัวเอง ฝึกให้สนุก
เปิดหูเปิดตาตัวเองที่จะรู้อะไรใหม่ ๆ อย่ายึดติดกับสิ่งที่มีอยู่ และ เรียนรู้ไปแล้ว
แล้วช่วงนั้น เป็นหน้าที่ของนักเรียนที่จะฝึกฝนตนเองจนได้รับความไว้วางใจที่อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาในแต่ละขั้น ๆ ออกไป
คนแต่ละคนจะมีพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนขั้นบันไดทีละก้าว ๆ สูงขึ้นไป ขอให้ค้นหาตัวเอง ฝึกให้สนุก
เปิดหูเปิดตาตัวเองที่จะรู้อะไรใหม่ ๆ อย่ายึดติดกับสิ่งที่มีอยู่ และ เรียนรู้ไปแล้ว
แล้วช่วงนั้น เป็นหน้าที่ของนักเรียนที่จะฝึกฝนตนเองจนได้รับความไว้วางใจที่อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาในแต่ละขั้น ๆ ออกไป
Bufu Ikkan!
Subscribe to:
Posts (Atom)