เมื่อประมาณสิงหาที่ผ่านมา หลังจากสมาชิกโรงฝึกสอบ sakki ผ่าน
เมื่อผมเข้าไปขอบคุณอาจารย์ที่ทำการสอบให้ อาจารย์มะซะอะกิได้กล่าว
เน้นย้ำให้หาคนที่มี ii kokoro เข้ามาฝึก
ii kokoro แปลว่า อะไร
ii แปลว่า ดี
kokoro แปลว่า หัวใจ
แปลเป็นไทยจะได้ว่า ให้หาคนที่มีจิตใจดีงามเข้ามาฝึกนั่นเอง
เป็นการเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ยินมาตลอดระหว่างการฝึกในบูจินกัน
เพราะเป็นวิชาการต่อสู้ที่อันตราย หากสอนแก่คนไม่ดีไปก็อาจจะมีผลเสียในภายหลัง
ศิลปะการต่อสู้มักถูกถ่ายทอดลงมารุ่นต่อรุ่น และยังคงอยู่ได้ด้วยเหตุนี้
เป็นการเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ยินมาตลอดระหว่างการฝึกในบูจินกัน
เพราะเป็นวิชาการต่อสู้ที่อันตราย หากสอนแก่คนไม่ดีไปก็อาจจะมีผลเสียในภายหลัง
ศิลปะการต่อสู้มักถูกถ่ายทอดลงมารุ่นต่อรุ่น และยังคงอยู่ได้ด้วยเหตุนี้
ที่อยู่ได้เพราะที่ตัวคนที่สืบทอดวิชามาเป็นรุ่น ๆ และ ก็สืบหาคนสืบทอดกันต่อไป
แต่โดยมากไม่ต้องคัดคนอะไรมาก เพราะ วิชาก็เป็นผู้คัดคนเองอยู่แล้วพอสมควร
ถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ฝึกแล้วไม่ถูกจริตของตนเอง ฝึกไปไม่ว่าวิชาอะไรไม่นานก็เลิก
ส่วนคนที่อยู่ก็อยู่กันไปเรื่อย
ในบทบัญญัติของบูจินกันกล่าวไว้ว่า มีผู้มาเคาะประตูของบูจินกันจำนวนมาก
แต่ก็มีจำนวนมากเช่นกัน ที่เดินเข้ามาไม่ถึงข้างใน การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้น
คนจำนวนมากตกหล่นอยู่ต้นทาง หลายคนอยู่กลางทาง มีคนจำนวนน้อยที่ยังเดินอยู่บนเส้นทาง
หลังเวลาผ่านไปหลายปี
ในหัวโขนที่ในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้มักจะใส่กันก็คือบทบาทของอาจารย์และศิษย์
คนส่วนมากพอนาน ๆ ไปก็มักมีสองบทบาทนี้มาสวมในเวลาเดียวกัน
ทางที่ดีที่สุดคือเป็นอาจารยืที่ดี และ ลูกศิษย์ที่ดีในเวลาเดียวกันให้ได้
คนส่วนมากเริ่มต้นด้วยใจกระตือรือร้นที่จะฝึก แต่หลายคนฝึกไปนานเข้าก็อีโก้จะเริ่มสูง
พออีโก้เริ่มแล้วก็เริ่มไม่อยากฝึก เริ่มรู้สึกตัวเก่ง เริ่มอยากสอนคนอื่นมากกว่าฝึกตัวเอง
จนเริ่มขาดการฝึกฝน ไปเปิดสอนเอง เริ่มขาดครูบาอาจารย์ แล้วก็จะเริ่มเคว้งจนจับหลักจับทางไม่ถูก
พอออกสอนสักพักบรรดาลูกศิษย์จะเริ่มตามครูทัน แล้วครูก็ไม่รู้จะสอนอะไรต่อเพราะเลิกฝึกฝนตัวแล้ว
จนในที่สุดก็เลิกกันไปหมดทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์แบบนี้พบเจอได้บ่อยมากในวงการศิลปะการต่อสู้
ลูกศิษย์เก่งกว่าอาจารย์เป็นไปได้เมื่ออาจารย์คนนั้น ๆ เลิกฝึกฝนตัวเองแล้ว
วิธีปรามตัวเองง่าย ๆ ไม่ให้อีโก้สูง ที่มักใช้แนะนำตัวเองและคนอื่นบ่อย ๆ คือ
เมื่อรู้สึกตัวเองเก่งเมื่อไรอยากให้ลองมองดูครูบาอาจารย์เราแต่ละคน
ว่าท่านยังเก่งกว่าเราแค่ไหน ในโรงฝึกเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน
ในวิชาเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน เมื่อได้เห็นแล้วก็จะรู้ว่าทางเดินเรายังอีกไกล
อาจารย์ของกว่าสิบปีที่เจอกัน เราว่าเราก็พัฒนาขึ้นมาเยอะ แต่ก็ยังตามไม่ทันแกสักที
ส่วนหนึ่งก็เพราะแกเองก็ยังพัฒนาขึ้นตลอดเวลาไม่ได้หยุดอยู่กลับที่ให้เราตามหลัง
การมีครูอาจารย์ที่ดีก็ดีแบบนี้นี่เอง
ส่วนการเป็นศิษย์ที่ดี ให้ลองหากระดาษปากกามาเขียนดูเป็นข้อ ๆ ว่า
ลักษณะศิษย์ที่เราต้องการเป็นอย่างไรเมื่อเปิดสอน เช่น ขยันหมั่นเพียร
ตั้งใจฝึกฝน สุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน ฯลฯ พอเสร็จก็มาลองนั่งดูว่า
หากเราอยากได้ศิษย์แบบนี้แล้ว แล้วตัวเราเป็นศิษย์ที่มีลักษณะแบบนี้ด้วยไหม
หากเราไม่มีก็ทำตัวให้มีซะ ถึงแม้เมื่อไรจะคิดว่าตัวเองเก่งแล้วแต่นั่นโดยมาก
เป็นเพียงความคิดของตนเอง(ที่คนเขาเรียกหลงตัวเอง) บางทีเราจะยังมองหลาย ๆ อย่างไม่ออก
ครูอาจารย์หลายท่านถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ไม่หมดไม่เท่ากัน ขึ้นกับหลาย ๆ ที่ต้องพิจารณา
เมื่อศิษย์ไม่ถึงขั้นที่จะรับได้ถ่ายทอดไปไม่มีประโยชน์ เมื่อศิษย์จิตใจยังไม่ดีพอก็ยากที่จะรับ
ยกตัวอย่างถ้าคนสอนยิงปืนอยู่ ถ้าคนที่คิดจะเอาแต่ค่าสอนก็คงไม่ได้สนใจว่าคนมาเรียนคือใคร
แต่ครูที่ดีคงต้องเลือกว่าใครควรจะเรียนได้ ใครควรจะเรียนไม่ได้
เด็ก ๆ ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่ดีควรเรียนได้ไหม คนที่เคยมีประวัติเสื่อมเสียควรให้เรียนไหม
ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของครูที่ต้องเลือกว่าจะทำยังไงกับคนสมัครเข้ามา
ในศิลปะการต่อสู้เองก็ไม่ต่างกัน
แต่โดยมากไม่ต้องคัดคนอะไรมาก เพราะ วิชาก็เป็นผู้คัดคนเองอยู่แล้วพอสมควร
ถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ฝึกแล้วไม่ถูกจริตของตนเอง ฝึกไปไม่ว่าวิชาอะไรไม่นานก็เลิก
ส่วนคนที่อยู่ก็อยู่กันไปเรื่อย
ในบทบัญญัติของบูจินกันกล่าวไว้ว่า มีผู้มาเคาะประตูของบูจินกันจำนวนมาก
แต่ก็มีจำนวนมากเช่นกัน ที่เดินเข้ามาไม่ถึงข้างใน การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้น
คนจำนวนมากตกหล่นอยู่ต้นทาง หลายคนอยู่กลางทาง มีคนจำนวนน้อยที่ยังเดินอยู่บนเส้นทาง
หลังเวลาผ่านไปหลายปี
ในหัวโขนที่ในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้มักจะใส่กันก็คือบทบาทของอาจารย์และศิษย์
คนส่วนมากพอนาน ๆ ไปก็มักมีสองบทบาทนี้มาสวมในเวลาเดียวกัน
ทางที่ดีที่สุดคือเป็นอาจารยืที่ดี และ ลูกศิษย์ที่ดีในเวลาเดียวกันให้ได้
คนส่วนมากเริ่มต้นด้วยใจกระตือรือร้นที่จะฝึก แต่หลายคนฝึกไปนานเข้าก็อีโก้จะเริ่มสูง
พออีโก้เริ่มแล้วก็เริ่มไม่อยากฝึก เริ่มรู้สึกตัวเก่ง เริ่มอยากสอนคนอื่นมากกว่าฝึกตัวเอง
จนเริ่มขาดการฝึกฝน ไปเปิดสอนเอง เริ่มขาดครูบาอาจารย์ แล้วก็จะเริ่มเคว้งจนจับหลักจับทางไม่ถูก
พอออกสอนสักพักบรรดาลูกศิษย์จะเริ่มตามครูทัน แล้วครูก็ไม่รู้จะสอนอะไรต่อเพราะเลิกฝึกฝนตัวแล้ว
จนในที่สุดก็เลิกกันไปหมดทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์แบบนี้พบเจอได้บ่อยมากในวงการศิลปะการต่อสู้
ลูกศิษย์เก่งกว่าอาจารย์เป็นไปได้เมื่ออาจารย์คนนั้น ๆ เลิกฝึกฝนตัวเองแล้ว
เมื่อรู้สึกตัวเองเก่งเมื่อไรอยากให้ลองมองดูครูบาอาจารย์เราแต่ละคน
ว่าท่านยังเก่งกว่าเราแค่ไหน ในโรงฝึกเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน
ในวิชาเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน เมื่อได้เห็นแล้วก็จะรู้ว่าทางเดินเรายังอีกไกล
อาจารย์ของกว่าสิบปีที่เจอกัน เราว่าเราก็พัฒนาขึ้นมาเยอะ แต่ก็ยังตามไม่ทันแกสักที
ส่วนหนึ่งก็เพราะแกเองก็ยังพัฒนาขึ้นตลอดเวลาไม่ได้หยุดอยู่กลับที่ให้เราตามหลัง
การมีครูอาจารย์ที่ดีก็ดีแบบนี้นี่เอง
ส่วนการเป็นศิษย์ที่ดี ให้ลองหากระดาษปากกามาเขียนดูเป็นข้อ ๆ ว่า
ลักษณะศิษย์ที่เราต้องการเป็นอย่างไรเมื่อเปิดสอน เช่น ขยันหมั่นเพียร
ตั้งใจฝึกฝน สุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน ฯลฯ พอเสร็จก็มาลองนั่งดูว่า
หากเราอยากได้ศิษย์แบบนี้แล้ว แล้วตัวเราเป็นศิษย์ที่มีลักษณะแบบนี้ด้วยไหม
หากเราไม่มีก็ทำตัวให้มีซะ ถึงแม้เมื่อไรจะคิดว่าตัวเองเก่งแล้วแต่นั่นโดยมาก
เป็นเพียงความคิดของตนเอง(ที่คนเขาเรียกหลงตัวเอง) บางทีเราจะยังมองหลาย ๆ อย่างไม่ออก
ครูอาจารย์หลายท่านถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ไม่หมดไม่เท่ากัน ขึ้นกับหลาย ๆ ที่ต้องพิจารณา
เมื่อศิษย์ไม่ถึงขั้นที่จะรับได้ถ่ายทอดไปไม่มีประโยชน์ เมื่อศิษย์จิตใจยังไม่ดีพอก็ยากที่จะรับ
ยกตัวอย่างถ้าคนสอนยิงปืนอยู่ ถ้าคนที่คิดจะเอาแต่ค่าสอนก็คงไม่ได้สนใจว่าคนมาเรียนคือใคร
แต่ครูที่ดีคงต้องเลือกว่าใครควรจะเรียนได้ ใครควรจะเรียนไม่ได้
เด็ก ๆ ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่ดีควรเรียนได้ไหม คนที่เคยมีประวัติเสื่อมเสียควรให้เรียนไหม
ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของครูที่ต้องเลือกว่าจะทำยังไงกับคนสมัครเข้ามา
ในศิลปะการต่อสู้เองก็ไม่ต่างกัน