Tuesday, December 17, 2013

นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้



เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ถึงเรื่องศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกขาน
นักรบ และ นักศิลปะการต่อสู้ ที่แตกต่างกัน จึงขอแชร์มาให้กันฟังครับ
ในภาษาญี่ปุ่น นักศิลปะการต่อสู้โบราณหลาย ๆ คนยัง เรียกตัวเองว่า
Bugeisha ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ตรงกับคำว่า Warrior หรือ นักรบนั่นเอง
ส่วนบางส่วนเรียกตัวเองว่า Budoka ซึ่งหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้

เพื่อความเข้าใจ สมัยนี้มักแปลคำว่า bu ว่าการต่อสู้ แต่จริง ๆ คำว่า bu มีความหมายในทางลึกกว่าการต่อสู้ เพราะหมายถึงการสงคราม เช่น แทคติก การวางแผนการรบ กลอุบายต่าง ๆ )

คำว่า Bugeisha และ Budoka อาจจะดูคล้ายกันในด้านความหมาย และ ความรู้สึกสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึก
แต่ความหมายลึก ๆ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

คำว่า bugeisha เป็นคำเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนยุคเอโดะ และ เมจิ ตั้งแต่ในยุคสมัยของการรบพุ่งและสมัยของซามูไร  โดยคำว่า Sha มีความหมายถึงคน ๆ หนึ่ง ส่วน Bugei หมายถึง ศิลปะในการสงคราม ดังนั้นคำว่า bugeisha จะหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้หรือนักรบในสมัยก่อนที่ไม่ต้องมองในเรื่องของศิลปะ หรือ กีฬา เป็นนักรบที่ไม่ต้องมีระดับสาย หรือ การแข่งขัน แต่มีการฝึกเพื่อใช้ในการรบพุ่งเท่านั้น

ส่วนคำว่า budoka นั้น คำว่า budo เป็นคำใหม่ที่มีมาในยุค เปลี่ยนจากเอโดะเป็นเมจิ ในยุคหลังที่ซามูไรกลายเป็นสิ่งล้าสมัย และ รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกระบบซามูไร ทำให้ซามูไรจำนวนมากตกงาน
ทำให้ซามูไรจำนวนหนึ่งใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมาในการสอนและเกิดคำว่า  budo ซึ่งแปลได้ว่า วิถีในการรบ หรือ วิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ ซึ่งคำว่า do(โด) นั้นเอารากศัพท์มาจากคำอื่น ๆ อย่าง saado (วิถีแห่งการชงชา), kaado (วิถีแห่งการจัดดอกไม้) และ shoodo(วิถีการเขียนพู่กัน) ส่วนคำว่า Ka(家)  นั้นหมายถึงครอบครัว คำว่า budoka จะหมายได้ถึงคนที่อยู่เป็นผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือ นักศิลปะการต่อสู้นั่นเอง
ดังนั้นบางทีในญี่ปุ่นก็จะได้ยินคำเรียกนักยูโดว่า judoka หรือ นักคาราเต้ว่า karateka

คำว่านักรบและนักศิลปะการต่อสู้ แตกต่างกันอย่างไร อยากให้ลองคิดกันดูครับ

ในบูจินกันมักมีการแชร์​บทกลอนบัญญัติของนักรบ (The Warrior Creed)
โดย Robert L. Humphrey อดีตทหารจากการรบที่เกาะอิโวจิม่า และ บูจินกันสิบดั้ง ที่ว่า

Wherever I go,   ไม่ว่าฉันเดินทางไปที่ไหน 
everyone is a little bit safer because I am there. ทุกคนจะปลอดภัยมาขึ้นเพราะฉันอยู่ที่นั่น 
Wherever I am,  ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน 
anyone in need has a friend. ทุก ๆ คนจะมีมิตร 
Whenever I return home, เมื่อฉันกลับบ้าน 
everyone is happy I am there. ทุกคนมีความสุขที่ฉันอยู่ที่นั่น 

"It's a better life!"  นั่นคือชีวิตที่ดีกว่า 

อาจารย์ทากามะซึเองก็เคย กล่าวไว้ว่า แก่นของศิลปะการต่อสู้ก็คือการปกป้อง นอกจากการป้องกันร่างกายแล้วก็ยังปกป้องในจิตวิญญาณของตนอีกด้วย ถ้าคุณใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยจิตใจที่บกพร่อง หรือ ใช้ในทางที่ผิดแทนที่จะป้องกันตัวเอง จุดจบของการทำแบบนั้นก็คือความตาย  

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้ ถึงแม้ทุกแบบจะเป็นผู้ใช้วิชาการต่อสู้แต่ก็แตกต่างกัน ผมเคยได้อ่านบทความดี ๆ อันนึงมานานแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน เขาสรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่าความแตกต่างระหว่างคำแต่ละคำนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสู้เพื่ออะไร และ เพื่อใคร 

ไม่อยากจะดึงภาพบุคคลใด ๆ มา จึงขอยืมภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ จากภาพยนตร์เรื่อง
ร๊อคกี้ ที่แสดงความดีใจในชัยชนะและได้รับเข็มขัดแชมป์เปี้ยน


และ อีกภาพจากอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เป็นภาพทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยคุ้มครองชาวบ้านและเด็ก ๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน


จากรูปทั้งสอง ผมว่าคงเข้าใจในความแตกต่างระหว่างที่ว่าแต่ละคนสู้เพื่ออะไร สิ่งตอบแทนที่ได้รับ และ ทำเพื่อใคร นั่นคือความแตกต่างของ นักรบ, นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬานั่นเอง 

ไม่ว่าการเลือกเดินทางไหนไม่ใช่สิ่งผิด แต่ก็ขอให้อย่าลืมเลือนจุดเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้  
เพราะบางครั้งคุณอาจจะถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อคนอื่น ๆ ได้ไหมนั่นเอง 





 

Tuesday, December 10, 2013

ไม่ต้องทำตนให้ดูน่ากลัว



ปัจจุบันนักศิลปะการต่อสู้จำนวนมากมักพยายามทำตัวให้ดูน่ากลัว ตั้งแต่ด้านร่างกาย เสื้อผ้า ทรงผม
หรือ กระทั่งเพิ่มรอยสัก รอยเจาะให้ตนเอง แต่ตั้งแต่อดีตมาไม่ว่านักรบ ผู้ฝึกนินจุสสุ หรือ นินจา
จะใช้แนวทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับนักรบจริง ๆ ยิ่งไม่จำเป็นต้องตกแต่งแต่งเติมตัวเอง
เพราะยิ่งจะตกเป็นเป้าหมายของศัตรูมากขึ้น ยกตัวอย่างในสถานการณ์การรบในปัจจุบันชุดของทหารในสถานการณ์ที่เข้าสู่พื้นที่ ๆ ทำการรบบรรดาเครื่องหมายทั้งหลาย หรือ กระทั่งเครื่องหมายยศก็จะถูกพรางไปกับสีเสื้อเสียหมด จนแทบไม่เห็นความแตกต่างกับผู้บังคับบัญชากับทหารทั่วไป

ยิ่งในยุคสมัยของสงครามของญี่ปุ่นในอดีตที่มักจะมีการปลอมแปลงตนไปอยู่ท่ามกลางคนทั่วไป ก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ที่จะทำตนให้ดูน่ากลัว เพราะเป็นอันตรายกับตัวมากกว่า ยิ่งการสักร่างกายเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่นิยมกันในปัจจุบัน แทบจะเป็นสิ่งต้องห้ามของนินจาในสมัยก่อน เพราะเป็นการสร้างตำหนิที่ไม่สามารถลบได้จะเป็นจุดสังเกตที่ถูกสังเกตและจดจำได้โดยง่ายจากคนอื่น ๆ

เมื่อทำการปลอมแปลงร่างกาย นินจานั้นกล่าวกันว่ามักปลอมแปลงตัวเองไปในชุดและอาชีพที่ไม่สะดุดตา เช่น นักบวช หรือ พ่อค้า ที่สามารถเดินทางไปต่างถิ่นพร้อมพกพาอาวุธโดยที่คนไม่ดูแปลกแยก การทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรือแสดงความเก่งกาจของตนเองยิ่งจะเป็นอันตรายกับตนเสียมากกว่า เพราะ คู่ต่อสู้หรืออีกฝ่ายจะทราบได้ง่าย ยิ่งอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นนักรบที่มีฝีมือมากก็ยิ่งจะหาวิธีมาต่อสู้จนรับมือได้ยากขึ้น เช่น ใช้คนจำนวนมาก หรือเตรียมพร้อมด้านอาวุธมาใช้แทน อีกอย่างหนึ่ง คือ แน่นอนว่าสำหรับศัตรูแล้ว นักรบที่มีฝีมือแล้วดูเหมือนคนปรกติธรรมดาจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครในหลายภารกิจนั้นน่ากลัวกว่านักรบที่มีฝีมือแต่เปิดเผยทุกอย่างให้คู่ต่อสู้รู้ว่าตนเป็นใคร อยู่ที่ไหน และ ใช้การต่อสู้แบบใด อย่างคำกล่าวที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เมื่อไม่ว่าศัตรูเป็นใครก็ย่อมไม่รู้ว่าจะมีการต่อสู้แบบไหน และ รับมือแบบไหนดี

ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ที่มีเป้าหมายในการฝึกฝนตนเองก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องแสดงตนอวดหรือไม่ต้องไปบอกคนอื่นตนเองเก่ง ผมเคยคุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นบางท่าน ท่านก็ชี้ให้ดูถึงนิสัยของชาวต่างชาติที่มาเข้าฝึกหลายครั้งบางพฤติกรรมนั้นไม่ได้ดูสวยงามเลย เช่น การใส่เสื้อยืดของโรงฝึกไม่ว่าจะวิชาใด ๆ ของตนนอกโรงฝึก การใส่ชุดหรือสายเก่า ๆ เพื่อให้ดูว่าเป็นผู้ฝึกที่ฝึกมานานแล้ว และ การมาปั้นหน้ายืนเก๊กอยู่ในโรงฝึก จากในสายตาของผู้ฝึกอาวุโสจริง ๆ เวลามองเห็นคนทำแบบนี้แล้ว มันเหมือนดูเด็กนักเรียนที่พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง











 


Ninja face หน้ากากนินจา



ปรกติในญี่ปุ่น ผมจะเข้าฝึกกับอาจารย์ชิราอิชิ ซึ่งเป็นชิฮันอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
ท่านเป็นชิฮันไม่กี่คนที่อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้วที่ยังเป็นอุเคะให้อาจารย์มะซะอะกิอยู่
อาจารย์ชิราอิชิขึ้นชื่อในความใจดี ความสุภาพ ภาพที่พบเห็นของคนส่วนมากคืออาจารย์
จะมาพร้อมรอยยิ้ม  ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเพียงฉากหน้า แต่บางครั้งประกายตาของท่านก็แสดงความรู้สึกแบบอื่นมา สำหรับลูกศิษย์ในโรงฝึกแล้วรอยยิ้มไม่ได้หมายถึงความใจดี แต่มันคือ Ninja face หรือหน้ากากนินจา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือ อาจารย์ทากามัสซึนั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้ และ การต่อสู้เมื่อเดินทางไปที่ประเทศจีนจนมีฉายาเสือแห่งมองโกล แต่ก็จำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่อยู่ในแวดวงนักศิลปะการต่อสู้เท่านั้นแต่คนทั่วไปในระแวกบ้านท่าน ยังไม่เคยทราบว่าท่านเป็นใครด้วยซ้ำ และ ถึงจะเป็นกลุ่มนักศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่นเองก็ทราบเพียงว่าท่านเป็นผู้สืบทอดวิชาการต่อสู้ที่แพร่หลายทางสายการทหารอย่าง คุคิ ริว แต่แทบไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปทราบว่าท่านเป็นผู้สืบทอดของทั้งเก้าสายวิชา

สำหรับรอยยิ้มของอาจารย์ชิราอิชิ หรือ กระทั่งอาจารย์มาซะอะกิก็เช่นเดียวกัน ที่มักจะยิ้มและแสดงออกภายนอกด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นมิตร แต่จะซ่อนอารมณ์ทั้งหมดอยู่ข้างในนั่นเอง

นักศิลปะการต่อสู้ ไม่ควรลืมการใช้ ninja face ให้มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมากเกินไป เก็บความตื่นเต้นไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงการตกใจ ความกลัว ความแตกตื่น และ ความยินดีจนเสียกริยา

万変不驚
Banpen Fugyo 
การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่สั่นคลอน
(การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่ประหลาดใจ)