Saturday, August 24, 2013

กฏและคําสอนของโรงฝึกบูจินกัน


เมื่อไม่นานมานี้อาจารย์ชิราอิชิได้มอบสำเนากฏและคำสอนของโรงฝึกที่ถ่ายทอดต่อกันมาให้
คำสอนนี้มาจากอาจารย์ของอาจารย์ทากามะซึ คืออาจารย์ โทดะ มะซะมิซึ
เป็นผู้สืบทอดลำดับที่ 32 ของโตกาคุเระ ริว นินจุสสุ และ ริวอื่น ๆ ที่อยู่ในบูจินกัน
นอกจากนั้นยังเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนแรกของ
โรงเรียนทหารของโตกุกาวะในเกียวโตในอดีต ซึ่งในเวลาต่อมาวิชา
ที่ถูกสืบทอดมาก็ถูกถ่ายทอดมาสู่อาจารย์ทากามะซึซึ่งเป็นสมาชิกในตระกูลโทดะ




กฏและคำสอนของโรงฝึกที่ถูกถ่ายทอดมาจากอาจารย์ โทดะ มะซะมิซึ

1. ตระหนักว่าความอดทนต้องมาเป็นอันดับแรก
2. ตระหนักว่าวิธีแห่งมนุษย์มาจากความถูกต้อง
3. ละทิ้ง ความโลภ ความขี้เกียจ และ ความดันทุรัง
4. ตระหนักว่าความเสียใจ ความกังวล และ ความขุ่นเคือง เป็นเรื่องธรรมชาติ และ จงค้นหาจิตที่มั่นคง
5. ยึดมั่นบนแนวทางของความซื่อสัตย์และความกตัญญู มีเป้าหมายค้นหาหนทางของปรัชญาและศิลปะการต่อสู้

เมจิที่23 วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ
โทดะ ชินริวเคน มะซะมิซึ



Wednesday, August 21, 2013

Sakki test อีกประตูที่ต้องผ่านในการสอบสายดำขั้นที่ห้า


เดือนที่ผ่านมากลุ่มลูกศิษย์ของผมเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อนเข้าฝึกบูจินกันที่โรงฝึกฮอมบู
และ หนึ่งในนั้นที่ปัจจุบันครองสายดำอันดับที่สี่อยู่ก็ได้รับอนุญาติให้สอบสายดำระดับห้า
แล้วก็สามารถผ่านการสอบมาได้

ในวิชาบูจินกันนั้นจริง ๆ แล้วจะมีการสอบที่จริงจังที่สุดในระดับเดียว คือ สายดำขั้นที่ห้า
จะมีการสอบที่เรียกว่า sakki test ทำการสอบง่าย ๆ ด้วยการนั่งทำให้จิตว่าง และ
จะถูกดาบฟันจากด้านหลัง ผลดูง่าย ๆ ถ้าหลบได้ก็ผ่าน หลบไม่ได้ก็ตก
เป็นการวัดสัมผัสรับรู้ของผู้สอบ

โดยที่มาของการสอบนี้คือ ครั้งหนึ่งเมื่ออาจารย์มะซะอะกิ เข้าฝึกกับ อาจารย์ทากามะซึ
อาจารย์ทากามะซึให้อาจารย์มะซะอะกินั่งรอเงียบ ๆ อยู่ในห้อง เมื่อนั่งไปสักพักหนึ่ง
อาจารย์มะซะอะกิรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลังทำให้ต้องกลิ้งหลบออกไป
แล้วจีงเห็นว่าเป็นอาจารย์ทากามะซึที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับดาบในมือที่ฟันลงมาแล้ว
ในที่ ๆ อาจารย์มะซะอะกิเคยนั่งอยู่  ต่อมาอาจารย์มาซะอะกิจึงนำการสอบนี้มาใช้ทดสอบ
สายดำระดับหน้าของบูจินกัน ซึ่งเป้นสายสำคัญเนื่องจากผู้ที่ผ่านสายดำระดับห้าจะได้รับตำแหน่ง
ชิโดชิ (แปลว่า ผู้ชี้ทางในการต่อสู้) หรือ ตำแหน่งผู้ฝึกสอน เป็นอาจารย์ที่สามารถสอนบุคคลอื่น ๆ ได้

ความรู้สึกนั้นถึงแม้จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
เช่น ความรู้สึกกระหาย รัก ชอบ โกรธ หิว ที่เป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์
การฝึกสัมผัสรับรู้นั้นจะว่าไปก็มีอยู่ในทุกศิลปะการต่อสู้
นักศิลปะการต่อที่ฝึกมามาก ๆ บางครั้งคู่ต่อสู้กำลังจะขยับก็พอรู้ได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หรืออีกฝ่ายกำลังจะเตะพอเห็นก็ทราบแล้วว่าจะเตะ จะทำให้ขยับได้ก่อนอีกฝ่าย
หากมองในอดีตมนุษย์เองก็ต้องใช้สัมผัสนี้เพื่อการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอาตัวรอด
การหาอาหาร จนถึงกระทั่งการสงครามหลายครั้งอาจจะเรียกว่าความสังหรณ์ว่า
ศัตรูจะมากจากทางนี้ ๆ ซึ่งการรับรู้นั้นมาจากหลายปัจจัย

สัมผัสรับรู้นั้นปรกติแล้วมีอยู่ในทุกคน
ยกตัวอย่างเช่น บางทีเราจะรู้สึกว่ามีคนจ้องมีคนแอบมองอยู่ เมื่อหันไปก็พบคนมองอยู่จริง ๆ
ความรู้สึกว่าคน ๆ นั้นชอบเรา หรือ โกรธ เกลียดเรา
หรือ บางทีมีสิ่งของที่ลอยมาหาเราคนส่วนมากก็จะรู้สึกได้
โดยที่ไม่ต้องหันไปมอง บางคนสัมผัสได้บางคนสัมผัสไม่ได้
แต่หลายครั้งหลังจากสัมผัสได้ปฏิกิริยาโต้ตอบของคนทั่วไปอาจจะตอบสนองไม่ทัน
บางทีเห็นอยู่ตรงหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่น
รถบางคันที่ชนโดยคนขับไม่แม้แต่จะแตะเบรคทั้ง ๆ ที่เห็นตรงหน้า
หรือ ครั้งหนึ่งเมื่อมีรายการมาถ่ายทำที่โรงฝึก พิธีกรขอเข้าร่วมฝึกด้วย
ขณะซ้อมเมื่อมีการซ้อมโดยใช้พลองฟาดไปที่หน้า พิธีกรคนนั้นก็ไม่แม้แต่จะขยับหน้าหนี
ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์จริงก็คงอาการหนักไปแล้ว

การสอบ sakki test นั้นไม่ง่าย และ ไม่ยาก ผู้ที่ควรจะสอบผ่านก็มักจะผ่าน
ผู้ที่ไม่ถึงเวลาที่จะสอบผ่านก็ไม่ผ่าน จะอยู่ที่การรับรู้ส่วนตัว
ซึ่งโดยมากหลังจากการผ่านการฝึกมาเป็นเวลานาน
ผู้ฝึกที่ได้รับการฝึกสม่ำเสมออย่างถูกทาง โดยตัวชิโดชิผู้สอนที่ถ่ายทอดการฝึกที่ถูกต้อง
ก็มักจะได้รับความรับรู้นี้ติดตัวมาได้

การสอบ sakki เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่อธิบายให้คนทั่วไปทราบยาก
เหมือนกับ skill หลายอย่างในโลก เช่น ผลของการนั่งสมาธิในพุทธศาสนา
ที่คนที่จะรับรู้ผลได้ก็มีแต่ตัวเอง สิ่งที่ทำง่ายก็แค่ นั่งหลับตา

การรับความรู้สึกว่าดาบจะมา และ หลบออกไป บางคนอาจดูเหมือนง่ายว่า
อาจจะได้ยินเสียง รู้สึกว่ามีการขยับ หรือ นับรอจังหวะ
ซึ่งในความเป็นจริง ๆ แล้วในตอนสอบสิ่งพวกนั้นใช้ไม่ได้เลย
การฟันนั้นเริ่มจากท่าฟันระดับสูง เมื่อดาบฟาดลงมามีเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีทีจะรู้สึก
ถ้ามัวไปรอฟังอยู่ก็ไม่ทันแน่ ๆ เพราะ อาจารย์ที่ฟันก็เป็นนักดาบทั้งนั้น
เรื่องเสียงนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มี
และผู้สอบที่สอบผ่านโดยมากไม่ได้รอให้ดาบฟาดลงมาแล้ว แต่เริ่มขยับตั้งแต่ดาบเริ่มขยับ
หลายครั้งเคยมีที่บางคนมาสอบแล้วรับรู้ได้แล้วแต่ขยับไม่ได้ และ
เคยมีคนที่ช๊อคตรงที่สอบจนต้องเรียกรถพยาบาลด้วย

ในอดีตคนที่จะเข้าสอบสายดำขั้นห้าทุกคน จะได้รับการสอบจากอาจารย์มาซะอะกิ
ปัจจุบันอาจารย์มาซะอะกิเริ่มให้สายดำสายดำระดับสิบระดับคุ (ขั้นที่ 15) มาทำการสอบ
ซึ่งต้องอยู่ในสายตาของอาจารย์ระหว่างสอบเท่านั้น ดังนั้นจะมีแต่การสอบที่ญี่ปุ่นเท่านั้น
ปัจจุบันมีผู้สอบผ่านในระดับชิโดชิทั่วโลกประมาณสามพันคน

 แต่ใช่ว่าการฝึกจะจบลงเมื่อขึ้นสู่สายดำขั้นที่ห้า แต่การสอบนี้เป็นเหมือนเปิดประตูอีกบาน
ที่วัดว่าผู้ฝึกสามารถรับการฝึกในระดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ไหม ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัว
หลังจากผ่านการสอบครั้งนี้แล้ว อาจารย์ก็เปิดแสดงให้เห็นโลกอีกใบที่ทำให้
โลกเหมือนพลิกหัวพลิกหางอีกครั้ง และ ต้องกลับไปเริ่มการฝึก
ทำความเข้าใจในวิชากันใหม่อีกครั้ง

Ninpo Ikkan!





Thursday, August 8, 2013

ว่าด้วยเรื่องนินโปอีกครั้ง


ปัจจุบันเวลาพูดถึงนินจุสสุ ภาพพจน์ของนินจุสสุมักกลายเป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริง
บ้างมองว่าป่าเถื่อนบ้าง โหดร้ายบ้าง เป็นนักฆ่าบ้าง บ้างมองเป็นยอดมนุษย์บ้าง
เพราะสื่อต่าง ๆ ที่ออกมาในรูปนั้น และ คนก็มักเชื่อแบบนั้นเสียด้วย
ตั้งแต่อดีตมาการต่อสู้ของนินโป หรือ นินจุสสุ ในความจริงแล้วกลับมองกลับกันเลยทีเดียว

ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แบบนินจุสสุหรือที่เราเรียกกันว่านินจานั้นไม่จำเป็น
ที่จะต้องเป็นผู้เชียวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับเป็นผู้ที่เข้าใจถึงวิธีต่อสู้เสียมากกว่า

วิธีต่อสู้หมายถึงอะไร?

ในหนังสือตำราพิชัยสงครามซูนวูมีการพูดถึงการใช้ไฟ ซึ่งมีความหมายถึงการใช้สายลับ
แยกสายลับออกไปหลาย ๆ ประเภท ตำรานี้ก็มักเห็นมีเขียนอ้างถึงในตำราโบราณของญี่ปุ่น
มองจากในอดีตประวัติการใช้งานนินจาของญี่ปุ่นมีมานานมาก
ใช้ในทั้งยามสงบและสงคราม งานที่ทำมีหลากหลาย นินจาชื่อดังมีอยู่พอสมควร
แต่เมื่อมองดูลึก ๆ ในแต่ละคนแล้วมักไม่ได้โด่งดังจากการเป็นนักศิลปะการต่อสู้เท่าไรนัก
หลายคนดังด้านการเป็นนักยุทธศาสตร์ นักวางแผนการรบ
บ้างดังจากการขโมย บ้างดังจากการพยายามลอบสังหารคนสำคัญ
บ้างดังจากตำนานเล่าลือต่าง ๆ

เมื่อมองกันจริงๆ จะกลายเป็น นินจามีชีวิตอยู่เพื่อภารกิจต่างๆ มากกว่า
ศิลปะการต่อสู้เป็นส่วนประกอบหนึ่งๆ ของนินโปที่มีมาเพื่อเอาชีวิตรอดจากความตาย
ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้เพียงเท่านั้น

หากมองในด้านการรบพุ่งสมัยก่อน
สำหรับนินจาความสำเร็จในของนินจาไม่ได้อยู่กับการเอาชนะการต่อสู้เสมอไป
เช่น บางส่วนของนินจาอาจจะต้องไปเข้าปะทะคู่ต่อสู้เพื่อดึงความสนใจ
ส่วนอีกฝ่ายนึงก็เข้าไปเผ่าเสบียงของคู่ต่อสู้ เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งทีมก็ถือว่าทำงานได้สำเร็จ
การเอาตัวรอดถึงมีความสำคัญมาก

เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการรบในสมัยก่อน
และ การศึกทั้งหลาย นินจาจึงต้องเรียนต้องฝึกศิลปะการต่อสู้จำนวนมาก
เพื่อให้มีความคล่องตัวในแต่ละสถานการณ์​
รวมทั้งฝึกยุทธวิธีและกลยุทธต่าง ๆ  อย่างในโตกาคุเระ ริว มี นินจา จูฮัคไค
ส่วนความชำนาณ..แน่นอนว่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน

นิทานเรื่องนึงที่ผมชอบมาก เพราะ แสดงวิธีการต่อสู้แบบนินจุสสุ คือ

ในอดีตมีนักดาบคนหนึ่งที่ท้าประลองกับนินจาคนหนึ่ง โดยมีกำหนดการในอีกสัปดาห์หน้า
(โดยไม่รู้ว่าทราบหรือไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นนินจา)
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถึงวันประลองก็คือ มีเฉพาะนินจาที่มาสู้ลานประลอง
ส่วนนักดาบคนที่เป็นคนท้า กลับป่วยเป็นโรคปัจจุบันเสียชีวิตไปเสียก่อน...

คงไม่ต้องเล่าว่าโรคที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร

เคยมีรายการมาสัมภาษณ์อาจารย์มาซะอะกิว่า เวลาสอนวิชานินจานี่สอนอะไร
ท่านตอบง่าย ๆ ว่าท่านสอนวิธีเอาตัวรอดให้กับศิษย์

วิชาของโตกาคุเระ ริว นินโป โดดเด่นในเรื่องการเอาตัวรอด
ดังนั้นอาวุธที่ใช้ของสำนักนี้จะเห็นชัดคือ มีการใช้ ชูชิเคน, ไฟ, ควัน, กับดัก, ชูโกะ, ..
เพื่อที่จะใช้หลบหนีจากคู่ต่อสู้ และ หลบจากสายตาคู่ต่อสู้มากกว่าการปะทะซึ่งหน้า
ซึ่งถ้ามองจริง ๆ ลักษณะงานสายลับในสงคราม หากบุกไปหาคู่ต่อสู้ด้วยจำนวนน้อย
ถ้าจะบุกไปลุยสู้ซึ่ง  ๆ หน้าแม้จะเก่งยังไงก็คงไม่รอด
แต่หากหลบรอดมีชีวิตรอดก็ยังสามารถสู้ต่อไปภายหน้าได้

นอกจากนั้นในนินโปเป็นการสอนให้คิดมากกว่าการทำตาม
เพราะการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องสู้ตรง ๆ เสมอไป ครั้ง โตกาคุชิ ไดซุเกะ ผู้ก่อตั้งสำนักโตกาคุเระ
ถูกไล่ล่าจากตระกูลเฮะเค ในสงครามคุริคาระ ใช้กลยุทธหลอกอีกกองทัพศัตรูด้วยการใช้
ไฟผู้ติดกับเขาวัวแต่ละข้าง แล้วปล่อยวัวฝูงใหญ่พุ่งเข้าหาฝ่ายศัตรู
จนอีกฝ่ายต้องถอยร่น จนได้รับชัยชนะในที่สุด (ยุทธวิธีที่ใช้เชื่อว่ามาจากกลยุทธของจีนอีกทีหนึ่ง)

ในยุคสมัยของซามูไรและนักดาบ หลายครั้งที่เรื่องของการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้
จะขอเล่าเรื่องของนักดาบในตำนานคนหนึ่งคือ ซีคาฮะระ โบคุเด็น

โบคุเด็น เป็นหนึ่งในยอดนักดาบในต้นยุคเซ็นโกคุ ที่ไม่เคยแพ้ใคร
ในการต่อสู้ทั้งในสนามรบและการประลองถึง 37 ครั้ง
ภายหลังมีชื่อเสียงเทียบเคียงมิยาโมโต มุซาชิ
แต่เมื่ออายุมากขึ้นท่านมองเห็นการต่อสู้เป็นเรื่องน่าเบื่อ และ หลีกเลี่ยงการใช้กำลังมากกว่า

ครั้งหนึ่งโบคุเด็นในอายุห้าสิบกว่าปี ถูกท้าประลองอย่างไร้มารยาทจากนักเลงคนหนึ่งบนเรือข้ามฟาก
นักเลงคนนั้นถามว่าโบคุเด็นใช้วิชาอะไร ซึ่งท่านตอบว่า วิชาของฉันต่างจากท่านมาก
ไม่ใช่วิชาที่จะถูกเอาชนะ และ ไม่ใช่วิชาที่ใช้เอาชนะ ชื่อวิชา Mutekatsu ryu (แปลว่า เอาชนะด้วยมือเปล่า)
นักเลงคนนั้นได้ยินก็สั่งให้นายท้ายนำเรือเทียบเกาะเล็ก ๆ เพื่อจะได้ประลองกัน
เมื่อใกล้ถึงฝั่งนักเลงกระโดดลงน้ำแล้วลุยขึ้นฝั่ง ส่วนโบคุเด็นก็เอาไม้จากนายท้าย
ยันเรือออกจากฝั่งไปสู้น้ำลึก ด้วยความตกใจนักเลงตะโกนโวยวายถาม
โบคุเด็นก็หัวเราะตะโกนกลับไปว่า นี่แหละวิชาไร้ดาบล่ะ

โบคุเด็นเป็นนักดาบในตำนานคนหนึ่งในไม่กี่คนที่มีชีวิตอยู่และเสียชีวิตเพราะความชรา
แต่นักดาบโดยมากอยู่ไม่ค่อยได้ถึงจุดนั้น

เป้าหมายของการฝึกบูจินกันในที่สุดแล้วดูได้จาก บทบัญญัติของโรงฝึก ในข้อสุดท้าย
"ความลับของไทจุสสุ คือ เข้าใจถึงที่มาของความสงบสุข"
และ "การฝึกเป็นหนทางเพื่อสร้างหัวใจที่ไม่สั่นไหว"


Bufu Ikkan!