Tuesday, December 17, 2013

นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้



เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ถึงเรื่องศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกขาน
นักรบ และ นักศิลปะการต่อสู้ ที่แตกต่างกัน จึงขอแชร์มาให้กันฟังครับ
ในภาษาญี่ปุ่น นักศิลปะการต่อสู้โบราณหลาย ๆ คนยัง เรียกตัวเองว่า
Bugeisha ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ตรงกับคำว่า Warrior หรือ นักรบนั่นเอง
ส่วนบางส่วนเรียกตัวเองว่า Budoka ซึ่งหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้

เพื่อความเข้าใจ สมัยนี้มักแปลคำว่า bu ว่าการต่อสู้ แต่จริง ๆ คำว่า bu มีความหมายในทางลึกกว่าการต่อสู้ เพราะหมายถึงการสงคราม เช่น แทคติก การวางแผนการรบ กลอุบายต่าง ๆ )

คำว่า Bugeisha และ Budoka อาจจะดูคล้ายกันในด้านความหมาย และ ความรู้สึกสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึก
แต่ความหมายลึก ๆ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

คำว่า bugeisha เป็นคำเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนยุคเอโดะ และ เมจิ ตั้งแต่ในยุคสมัยของการรบพุ่งและสมัยของซามูไร  โดยคำว่า Sha มีความหมายถึงคน ๆ หนึ่ง ส่วน Bugei หมายถึง ศิลปะในการสงคราม ดังนั้นคำว่า bugeisha จะหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้หรือนักรบในสมัยก่อนที่ไม่ต้องมองในเรื่องของศิลปะ หรือ กีฬา เป็นนักรบที่ไม่ต้องมีระดับสาย หรือ การแข่งขัน แต่มีการฝึกเพื่อใช้ในการรบพุ่งเท่านั้น

ส่วนคำว่า budoka นั้น คำว่า budo เป็นคำใหม่ที่มีมาในยุค เปลี่ยนจากเอโดะเป็นเมจิ ในยุคหลังที่ซามูไรกลายเป็นสิ่งล้าสมัย และ รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกระบบซามูไร ทำให้ซามูไรจำนวนมากตกงาน
ทำให้ซามูไรจำนวนหนึ่งใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมาในการสอนและเกิดคำว่า  budo ซึ่งแปลได้ว่า วิถีในการรบ หรือ วิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ ซึ่งคำว่า do(โด) นั้นเอารากศัพท์มาจากคำอื่น ๆ อย่าง saado (วิถีแห่งการชงชา), kaado (วิถีแห่งการจัดดอกไม้) และ shoodo(วิถีการเขียนพู่กัน) ส่วนคำว่า Ka(家)  นั้นหมายถึงครอบครัว คำว่า budoka จะหมายได้ถึงคนที่อยู่เป็นผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือ นักศิลปะการต่อสู้นั่นเอง
ดังนั้นบางทีในญี่ปุ่นก็จะได้ยินคำเรียกนักยูโดว่า judoka หรือ นักคาราเต้ว่า karateka

คำว่านักรบและนักศิลปะการต่อสู้ แตกต่างกันอย่างไร อยากให้ลองคิดกันดูครับ

ในบูจินกันมักมีการแชร์​บทกลอนบัญญัติของนักรบ (The Warrior Creed)
โดย Robert L. Humphrey อดีตทหารจากการรบที่เกาะอิโวจิม่า และ บูจินกันสิบดั้ง ที่ว่า

Wherever I go,   ไม่ว่าฉันเดินทางไปที่ไหน 
everyone is a little bit safer because I am there. ทุกคนจะปลอดภัยมาขึ้นเพราะฉันอยู่ที่นั่น 
Wherever I am,  ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน 
anyone in need has a friend. ทุก ๆ คนจะมีมิตร 
Whenever I return home, เมื่อฉันกลับบ้าน 
everyone is happy I am there. ทุกคนมีความสุขที่ฉันอยู่ที่นั่น 

"It's a better life!"  นั่นคือชีวิตที่ดีกว่า 

อาจารย์ทากามะซึเองก็เคย กล่าวไว้ว่า แก่นของศิลปะการต่อสู้ก็คือการปกป้อง นอกจากการป้องกันร่างกายแล้วก็ยังปกป้องในจิตวิญญาณของตนอีกด้วย ถ้าคุณใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยจิตใจที่บกพร่อง หรือ ใช้ในทางที่ผิดแทนที่จะป้องกันตัวเอง จุดจบของการทำแบบนั้นก็คือความตาย  

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้ ถึงแม้ทุกแบบจะเป็นผู้ใช้วิชาการต่อสู้แต่ก็แตกต่างกัน ผมเคยได้อ่านบทความดี ๆ อันนึงมานานแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน เขาสรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่าความแตกต่างระหว่างคำแต่ละคำนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสู้เพื่ออะไร และ เพื่อใคร 

ไม่อยากจะดึงภาพบุคคลใด ๆ มา จึงขอยืมภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ จากภาพยนตร์เรื่อง
ร๊อคกี้ ที่แสดงความดีใจในชัยชนะและได้รับเข็มขัดแชมป์เปี้ยน


และ อีกภาพจากอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เป็นภาพทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยคุ้มครองชาวบ้านและเด็ก ๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน


จากรูปทั้งสอง ผมว่าคงเข้าใจในความแตกต่างระหว่างที่ว่าแต่ละคนสู้เพื่ออะไร สิ่งตอบแทนที่ได้รับ และ ทำเพื่อใคร นั่นคือความแตกต่างของ นักรบ, นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬานั่นเอง 

ไม่ว่าการเลือกเดินทางไหนไม่ใช่สิ่งผิด แต่ก็ขอให้อย่าลืมเลือนจุดเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้  
เพราะบางครั้งคุณอาจจะถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อคนอื่น ๆ ได้ไหมนั่นเอง 





 

Tuesday, December 10, 2013

ไม่ต้องทำตนให้ดูน่ากลัว



ปัจจุบันนักศิลปะการต่อสู้จำนวนมากมักพยายามทำตัวให้ดูน่ากลัว ตั้งแต่ด้านร่างกาย เสื้อผ้า ทรงผม
หรือ กระทั่งเพิ่มรอยสัก รอยเจาะให้ตนเอง แต่ตั้งแต่อดีตมาไม่ว่านักรบ ผู้ฝึกนินจุสสุ หรือ นินจา
จะใช้แนวทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับนักรบจริง ๆ ยิ่งไม่จำเป็นต้องตกแต่งแต่งเติมตัวเอง
เพราะยิ่งจะตกเป็นเป้าหมายของศัตรูมากขึ้น ยกตัวอย่างในสถานการณ์การรบในปัจจุบันชุดของทหารในสถานการณ์ที่เข้าสู่พื้นที่ ๆ ทำการรบบรรดาเครื่องหมายทั้งหลาย หรือ กระทั่งเครื่องหมายยศก็จะถูกพรางไปกับสีเสื้อเสียหมด จนแทบไม่เห็นความแตกต่างกับผู้บังคับบัญชากับทหารทั่วไป

ยิ่งในยุคสมัยของสงครามของญี่ปุ่นในอดีตที่มักจะมีการปลอมแปลงตนไปอยู่ท่ามกลางคนทั่วไป ก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ที่จะทำตนให้ดูน่ากลัว เพราะเป็นอันตรายกับตัวมากกว่า ยิ่งการสักร่างกายเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่นิยมกันในปัจจุบัน แทบจะเป็นสิ่งต้องห้ามของนินจาในสมัยก่อน เพราะเป็นการสร้างตำหนิที่ไม่สามารถลบได้จะเป็นจุดสังเกตที่ถูกสังเกตและจดจำได้โดยง่ายจากคนอื่น ๆ

เมื่อทำการปลอมแปลงร่างกาย นินจานั้นกล่าวกันว่ามักปลอมแปลงตัวเองไปในชุดและอาชีพที่ไม่สะดุดตา เช่น นักบวช หรือ พ่อค้า ที่สามารถเดินทางไปต่างถิ่นพร้อมพกพาอาวุธโดยที่คนไม่ดูแปลกแยก การทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรือแสดงความเก่งกาจของตนเองยิ่งจะเป็นอันตรายกับตนเสียมากกว่า เพราะ คู่ต่อสู้หรืออีกฝ่ายจะทราบได้ง่าย ยิ่งอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นนักรบที่มีฝีมือมากก็ยิ่งจะหาวิธีมาต่อสู้จนรับมือได้ยากขึ้น เช่น ใช้คนจำนวนมาก หรือเตรียมพร้อมด้านอาวุธมาใช้แทน อีกอย่างหนึ่ง คือ แน่นอนว่าสำหรับศัตรูแล้ว นักรบที่มีฝีมือแล้วดูเหมือนคนปรกติธรรมดาจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครในหลายภารกิจนั้นน่ากลัวกว่านักรบที่มีฝีมือแต่เปิดเผยทุกอย่างให้คู่ต่อสู้รู้ว่าตนเป็นใคร อยู่ที่ไหน และ ใช้การต่อสู้แบบใด อย่างคำกล่าวที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เมื่อไม่ว่าศัตรูเป็นใครก็ย่อมไม่รู้ว่าจะมีการต่อสู้แบบไหน และ รับมือแบบไหนดี

ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ที่มีเป้าหมายในการฝึกฝนตนเองก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องแสดงตนอวดหรือไม่ต้องไปบอกคนอื่นตนเองเก่ง ผมเคยคุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นบางท่าน ท่านก็ชี้ให้ดูถึงนิสัยของชาวต่างชาติที่มาเข้าฝึกหลายครั้งบางพฤติกรรมนั้นไม่ได้ดูสวยงามเลย เช่น การใส่เสื้อยืดของโรงฝึกไม่ว่าจะวิชาใด ๆ ของตนนอกโรงฝึก การใส่ชุดหรือสายเก่า ๆ เพื่อให้ดูว่าเป็นผู้ฝึกที่ฝึกมานานแล้ว และ การมาปั้นหน้ายืนเก๊กอยู่ในโรงฝึก จากในสายตาของผู้ฝึกอาวุโสจริง ๆ เวลามองเห็นคนทำแบบนี้แล้ว มันเหมือนดูเด็กนักเรียนที่พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง











 


Ninja face หน้ากากนินจา



ปรกติในญี่ปุ่น ผมจะเข้าฝึกกับอาจารย์ชิราอิชิ ซึ่งเป็นชิฮันอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
ท่านเป็นชิฮันไม่กี่คนที่อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้วที่ยังเป็นอุเคะให้อาจารย์มะซะอะกิอยู่
อาจารย์ชิราอิชิขึ้นชื่อในความใจดี ความสุภาพ ภาพที่พบเห็นของคนส่วนมากคืออาจารย์
จะมาพร้อมรอยยิ้ม  ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเพียงฉากหน้า แต่บางครั้งประกายตาของท่านก็แสดงความรู้สึกแบบอื่นมา สำหรับลูกศิษย์ในโรงฝึกแล้วรอยยิ้มไม่ได้หมายถึงความใจดี แต่มันคือ Ninja face หรือหน้ากากนินจา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือ อาจารย์ทากามัสซึนั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้ และ การต่อสู้เมื่อเดินทางไปที่ประเทศจีนจนมีฉายาเสือแห่งมองโกล แต่ก็จำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่อยู่ในแวดวงนักศิลปะการต่อสู้เท่านั้นแต่คนทั่วไปในระแวกบ้านท่าน ยังไม่เคยทราบว่าท่านเป็นใครด้วยซ้ำ และ ถึงจะเป็นกลุ่มนักศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่นเองก็ทราบเพียงว่าท่านเป็นผู้สืบทอดวิชาการต่อสู้ที่แพร่หลายทางสายการทหารอย่าง คุคิ ริว แต่แทบไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปทราบว่าท่านเป็นผู้สืบทอดของทั้งเก้าสายวิชา

สำหรับรอยยิ้มของอาจารย์ชิราอิชิ หรือ กระทั่งอาจารย์มาซะอะกิก็เช่นเดียวกัน ที่มักจะยิ้มและแสดงออกภายนอกด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นมิตร แต่จะซ่อนอารมณ์ทั้งหมดอยู่ข้างในนั่นเอง

นักศิลปะการต่อสู้ ไม่ควรลืมการใช้ ninja face ให้มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมากเกินไป เก็บความตื่นเต้นไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงการตกใจ ความกลัว ความแตกตื่น และ ความยินดีจนเสียกริยา

万変不驚
Banpen Fugyo 
การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่สั่นคลอน
(การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่ประหลาดใจ)



   

Tuesday, November 5, 2013

สอนเป็นคอร์ส สอนส่วนตัว?



เมื่อไม่นานมานี้มีฝรั่งคนหนึ่งส่งเมล์มาหาผมว่าตอนนี้ทำงานอยู่ในตะวันออกกลาง
กำลังจะเดินทางมาพักผ่อนกับเพื่อนและอยากเข้าฝึก โดยถามมาว่าคิดราคาคอร์สเท่าไร
ต้องการการสอนเป็นกลุ่มส่วนตัว  ซึ่งพอผมได้เห็นก็ตอบกลับไปว่าเราไม่มีการสอนเป็นคอร์ส
และ ไม่มีการสอนส่วนตัว ทางนั้นเลยถามกลับมาอีกทีว่า "Why?" เพราะความไม่เข้าใจ

เรื่องแบบนี้เห็นได้บ่อยในโลกของทุนนิยมปัจจุบัน ที่วิชาการต่อสู้กลายเป็นสินค้าและบริการชนิดหนึ่งไปแล้ว ในศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของญี่ปุ่นการเข้าฝึกไม่ได้เป็นไปโดยง่าย เพียงแค่จ่ายเงินเข้าและสมัยเข้าไปก็ได้แบบสมัยนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปวิชาสมัยใหม่เข้ามา และ ศิลปะการต่อสู้จำนวนมากกลายเป็นเรื่องของธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อวิชาไปเผยแพร่ในต่างแดน จนความเข้าใจของคนจำนวนมากผิดเพี้ยนไป

ในญี่ปุ่นนั้นปัจจุบันในวิชาศิลปะการต่อสู้โบราณส่วนมากที่ญี่ปุ่น ก็ยังไม่มีการสอนเป็นคอร์ส
ส่วนมากไม่มีการโฆษณา ไม่มีการประกาศว่าเปิดรับสมัครพร่ำเพรื่อ และ ฝึกกันอยู่ในกลุ่มเท่านั้น
ผู้ที่จะเข้าฝึกจะต้องค้นหา และ ขอเข้าฝึกเอง โดยมากจะต้องมีคนรับรองเพื่อเข้าฝึกด้วย

ในบูจินกันเองเช่นกัน ในญี่ปุ่นนั้นผมยังไม่เคยเห็นมีการสอนเป็นคอร์ส หรือ เป็นการสอนส่วนตัว
เพราะการสอนเป็นคอร์สนั้น ไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไรสำหรับนักเรียนที่มาเข้าฝึกในแนวของบูโด
เนื่องจากคอร์สมีการเรียนที่ต้องจำกัดเวลา แต่คนส่วนมากที่เข้าฝึกประจำนั้น การฝึกเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ฝึกกันเป็นปีเป็นสิบปีก็เลยไม่สามารถทำเป็นคอร์สได้ ส่วนที่ไม่มีการสอนเป็นส่วนตัวนั้นก็เพราะคนสอนเองเกือบทุกคน(นอกจากที่เกษียณไปแล้ว)มีงานทำกันทั้งนั้น ไม่ได้ใช้วิชาที่ฝึกมาเพื่อการประกอบอาชีพ ดังนั้นจะไม่มีเวลาว่างเท่าไรนัก การสอนส่วนมากในญี่ปุ่นจึงอยู่ในวันเสาร์อาทิตย์และตอนเย็น นอกจากนั้นเวลาที่เหลือก็จะแบ่งแบบเวลาไปใช้กับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การใช้ชีวิตกับครอบครัว การพักผ่อน เรื่องการที่จะมาจ้างสอนคอร์สส่วนตัวจึงออกจะดูเป็นเรื่องประหลาดทีเดียว

จริง ๆ แล้วคนฝึกใหม่หลายคนยังมีความเชื่อผิด ๆ เป็นอันมากเรื่องการเรียนเป็นคอร์ส หรือ การเรียนตัวต่อตัวว่าจะได้ความรู้มากกว่าการเรียนในคลาสธรรมดา แต่โดยส่วนตัวเองด้วยประสบการณ์ผ่าน ๆ มาผมไม่คิดแบบนั้น

การเรียนเป็นคอร์สระยะสั้น ในบางวิชาอาจจะทำได้ เช่น คอร์สสอนการป้องกันตัวพื้นฐานต่าง ๆ
แต่ในวิชาที่ใหญ่และมีเรื่องต้องถ่ายทอดมากไม่มีทางทำได้ เพราะ อย่างในบูจินกันเองการฝึกฝนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาคนที่ฝึกสิบปีผ่านไปก็ยังพบว่าวิชามีความยากอยู่ แล้วคนที่เรียนเพียงไม่กี่ครั้งจะได้อะไรจากการฝึก โดยส่วนมากที่โรงฝึกหกเดือนถึงปีแรกจะมุ่งหวังที่การฝึกเคลื่อนไหวพื้นฐาน การหัดล้ม และท่าพื้นฐานต่าง ๆ  เพียงเท่านั้น ซึ่งส่วนมากสองสามเดือนแรกม้วนหน้าหลังจะยังไม่รอดกันเลย ถ้าทำคอร์สฝึกสามเดือนดูท่าจะได้เงินเยอะแต่สงสารนักเรียนที่จะได้ฝึกอะไรเพียงผิวเผินเท่านั้น

ส่วนการเรียนแบบส่วนตัวนั้นในบางวิชาอาจจะมีผลดี แต่ในบางวิชาผลอาจจะต่างกันไป เพราะศิลปะการต่อสู้ผลที่ได้มาจากการซ้อม การฝึกฝนจนชำนาญ​ คู่ซ้อมควรจะมีความหลากหลาย ไม่ใช่เพียงคนสองคนเท่านั้น ในการฝึกด้วยระยะเวลายาวนานคนฝึกจะได้เจอกับคู่ฝึกหลาย ๆ แบบ ทั้งตัวเล็กใหญ่ น้ำหนัก ขนาดร่างกาย ลักษณะกล้ามเนื้อ โครงร่างกระดูก ความอึด การตอบโต้ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นจะสร้างขึ้นมาในตัวคน ๆ หนึ่งได้จะใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว เมื่อเทียบกับแล้วการเรียนในคลาสธรรมดาทั่วไปในระยะเวลานานจึงมีความสำเร็จดีกว่า

คำว่า "โด" ในอักษรคันจินั้นเป็นแปลได้หลายความหมาย เช่น แนวทาง, วิถี, ถนน
เมื่อจะเข้าสู่ "โด" ในวิถีแห่งศิลปะการต่อสู้แล้วทางที่จะไปนั้นยาวไกล บางคนอาจจะเดินไปไม่สุดทาง
บางคนอาจจะไปไกลมากกว่าคนอื่น แต่ยังไงก็ตามขอแนะนำอย่าหวังอะไรเพียงฉาบฉวยและมองสั้นเกินไป



 

 

 

Sunday, October 20, 2013

ชูริเคน ดาวกระจายกับไทจุสสุ


เมื่อเอ่ยถึงนินจา สิ่งที่คนทั่วไปนึกถึงอย่างนึงคือดาวกระจายหรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่าชูริเคน
ประเภทของชูริเคน มีมากหลายชนิดหลายแบบตามจุดประสงค์การใช้งาน และ เอกลักษณ์แต่ละสำนัก
แต่ก็ใช่ว่าถ้าขว้างชูริเคนเป็นแล้วจะต้องยึดติดกับแบบ เพราะควรจะใช้ได้ทุก ๆ แบบเมื่อรู้วิธีการที่ถูกแล้ว
ในโตกาคุเระริว ใช้ชูริเคนแบบเซมบัง ที่เป็นสี่เหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ และ ใช้โบชูริเคน (ชูริเคนแบบแท่ง)
ที่เหมือนกับในคิคุชินเด็นริว โดยวิชาการขว้างอาวุธนี้ถูกเรียกว่าชูริเคนจุสสุ 

ชูริเคนไม่ใช่อาวุธที่ใช้เฉพาะสำหรับนินจา แต่ในอดีตซามูไรเองก็มีการฝึกชูริเคนด้วยเช่นกัน
โดยเป็นหนึ่งในวิชาที่เขียนไว้ใน Bugei Juhappan ทักษะสิบแปดประการของนักรบ  




ชูริเคนขว้างไม่ยากโดยเฉพาะเมื่อผู้ฝึกเข้าใจในไทจุสสุแล้ว ท่าคิฮอนพื้นฐานต่าง ๆ
กลายเป็นท่าที่สามารถใช้กับชูริเคนได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคิฮอนแฮปโป และ ซันชินโนะกาต้า
พื้นฐานไทจุสสุจึงมีความสำคัญกับชูริเคนมาก ในบูจินกันการขว้างชูริเคนไม่ใช่แค่การยืนขว้าง
ให้ปักกับเป้า แต่คือการกลมกลืนร่างกายไปกับอาวุธ และ ดึงความสามารถของอาวุธมาใช้งาน

ในคลิปคือ ชิโดชิ Duncan Stewart หนึ่งในชิฮันของบูจินกัน สาธิตตัวอย่างการขว้างชูริเคนพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายในแบบต่าง ๆ ถ่ายทำที่บูจินกัน ฮอมบูโดโจ 












Friday, October 4, 2013

Modern in Tradition ...


ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับอาจารย์ชิราอิชิ หลังฝึกเสร็จจึงขอมาเล่าสู่กันฟังครับ

อาจารย์ท่านเล่าว่าบูจินกันเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณแต่ไม่โบราณ
โดยลักษณะการฝึกนั้นมีความคิดที่ไม่ให้ยึดติด  วิชาของบูจินกันนั้น 
ในการฝึกตามปรกติแล้วไม่ยึดติดในกาต้า หรือ พูดง่าย ๆ คือไม่ยึดติดในรูปแบบ
ถึงแม้จะมีกาต้ามาจากวิชาที่สืบทอดมาก็ตาม แต่กาต้าที่เรียนนั้นก็เป็นเพียงพื้นฐาน 
แต่ที่สำคัญคือความคิด ที่สะสมมากว่า 900 ปีต่างหาก 

เขียนเองยังอ่านแล้ว งง ๆ ขอขยายความแล้วกันครับ 

ท่าเป็นของตาย แต่คนเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ 

ถ้าใครเคยดูหนังจีนจะเห็นว่า แต่ละวิชาจะมีท่าที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง 
ซึ่งในบูจินกันก็มีเช่นกัน ในแต่ละริว ๆ ทั้งเก้าริวของบูจินกันก็จะมีท่าเฉพาะตัวอยู่ 
ซึ่งมักถูกใช้ในการฝึกพื้นฐาน ในระดับการฝึกของผู้ฝึกระดับต้น 
ก็ทำให้คนฝึกหลาย ๆ คนที่มุ่งหวังจะฝึกให้สำเร็จ ก็ถึงกับนั่งท่องท่าพวกนี้กันเลยทีเดียว
ซึ่งในการฝึกของนินจุสสุจริง ๆ แล้วเรื่องการท่องชื่อมันไม่สำคัญ
นินจุสสุ จึงไม่มีการสอบสายเพื่อขึ้นระดับสายสูงขึ้นด้วยท่าพวกนี้ 
จากความจริงที่ว่า ถ้านั่งท่องชื่อท่าไป หรือ สักแต่ว่าทำท่าตามที่เรียกไปก็ไม่ได้จะทำให้ผู้ฝึกพัฒนาดีขึ้น  (เหมือนระบบการศึกษาบ้านเราที่นั่งท่องตำราเป็นนกแก้วนกขุนทอง) 
แต่เน้นที่ความเข้าใจในแต่ละท่ามากกว่า  การจำวิชาแต่ละท่าเป็นแพทเทิร์นจึงไม่จำเป็น
(เพราะถ้าอยากรู้เมื่อไรก็เปิดหนังสือดูซะ) แต่ก้ใช่ว่าจะไม่รู้เพราะต้องฝึกมาตั้งแต่การฝึกพื้นฐาน 

แต่การไม่ยึดติดกับการไม่รู้นั้นต่างกัน คือต้องมีความรู้ในท่านั้น ๆ แต่ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะที่ฝึก
เพราะโลกนั้นเปลี่ยนไปทุกวัน วิธีการต่อสู้วิธีคิดจะต้องนำสิ่งที่มีมาใช้ได้ 
ยกตัวอย่างในอดีตครั้งกลุ่มนินจาอิกะเข้ามารับใช้ โตกุกาวะ อิเยยาสุ 
มีการจัดตั้งหน่วย hyakunin gumi เฮียกุนินกุมิ เป็นกองทหารที่มาจากกลุ่มนินจาอิกะและโคกะ
นอกจากแทคติคการต่อสู้แบบนินจาแล้ว อาวุธหลักของกองทหารนี้คือปืนยาวโบราณ  
เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านินจาก็มีการเปลี่ยนแปลงเข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ 

การฝึกในปัจจุบันเช่นกัน การฝึกนินจุสสุจะฝึกให้คิดและวิเคราะห์อยู่เสมอ
การต่อสู้แบบนินจุสสุคือการสู้เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น แต่เพื่อให้ภารกิจอยู่รอด
การสู้จนตัวตายก็ไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุดเพราะภารกิจด้านหลังก็จะจบไปด้วย 
แต่เมื่อสู้ก็ต้องหาทางที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะ
แนวคิดนี้เองทำให้นินจุสสุยังอยู่รอดจนทุกวันนี้ 
และยังทำให้การฝึกถูกนำไปใช้กับหน่วยงานปัจจุบันที่เห็นความสำคัญหลาย ๆ แห่ง 

จนถึงปัจจุบันการฝึกที่ญี่ปุ่นมักมีการแชร์ประสบการณ์จากผู้ฝึกในหลากหลายอาชีพ
โดยผู้ฝึกที่ได้นำนินจุสสุไปประยุคใช้ในสถานการณ์จริงต่าง ๆ กัน
แม้กระทั่งเรื่องที่ดูง่าย ๆ อย่าง การเผชิญกับคนเมาในร้านอาหาร
ผู้ทำงานในร้านอาหารหากเจอคนเมาควรจะรับมืออย่างไรอย่างละมุนละม่อม
วิธีการอุ้ม การพยุง การควบคุม จะทำอย่างไร

ในบางครั้งก็เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแก้ไขยากอย่างสถานการณ์ช่วยตัวประกัน
และ การฝึกที่ปรกติมักไม่มีการคิดถึงกัน เช่น เจ้าหน้าที่ ๆ Air marshal
มีลักษณะการต่อสู้บนเครื่องบินที่เคลื่อนที่ยากหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น เพราะทางเดินที่แคบ
ลักษณะของห้องโดยสารที่ไม่มีที่กว้างพอทำให้การเคลื่อนไหวต่อย เตะทั่วไปใช้งานยาก 
การทุ่ม การปล้ำก็ลงไปทำได้ยาก หรือ หากเกิดการไฮแจ๊คขึ้น จริง ๆ จะมักมีผู้ร่วมก่อเหตุ
มากกว่าหนึ่งคนการต่อสู้ควรทำอย่างไร ไม่ใช่ใช่แต่กำลังตัดสิน

จนกระทั่งการต่อสู้ในสนามรบปัจจุบันที่ วิชานินจา หรือนินจุสสุนั้นถูกนำไปประยุกใช้
ในหลายหน่วยงานโดยเฉพาะในต่างประเทศ

สถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นขุมความรู้ของวิชานินจุสสุที่ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา
ด้วยการฝึกต่อ ๆ กันมา และ ยังถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน   


  

เรื่องของโดโจ และ การฝึก


บทความเก่าลงไว้ที่ http://www.ninjutsu.in.th/membersys/newforum/showthread.php?tid=323

ปกติแล้วโรงฝึกของเราค่อนข้างผ่อนคลายพอสมควร
และปกติแล้วผู้ฝึกของเราก็เป็นผู้ใหญ่กันพอที่จะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
แต่หลัง ๆ มามีผู้เข้าใหม่จำนวนมากที่ยังไม่รุ้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ
จนกลายเป็นทำเรื่องที่เสียมารยาทในโรงฝึกบ่อยครั้ง วันนี้มาคุยเรื่องนี้กันสักหน่อย 

"โดโจไม่ใช่ยิม" เป็นประโยคที่ขึ้นไว้ในเวปของโรงฝึกใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว
คำว่า "โด" มีความหมายถึงวิธีหรือแนวทาง ส่วน "โจ" มีความหมายถึงห้องโถงหรือสถานที่ขนาดใหญ่
ดังนั้นคำว่า "โดโจ" ถึงมีความหมายถึงสถานที่ ๆ ใช่ฝึกวิถีทางต่าง ๆ เช่น สถานที่สอนศิลปะโบราณ
สอนพิธีชงชา และ มักใช้ในสถานสอนศิลปะการป้องกันตัวด้วย

ในโดโจนั้นจะถือว่าเป็นสถานที่สถิตของเทพในนิกายชินโต จึงเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ของนักศิลปะการต่อสู้
โดยในโรงฝึกของญี่ปุ่นจะมีการตั้งคามิดะนะซึ่งหากแปลตรงตัวก็แปลว่าหิ้งของเทพเจ้า หากบ้านเราก็คงเรียกศาลบูชา
สำหรับบูจินกันก่อนฝึกจะมีการกล่าวเพื่อชำระจิตใจ และ การปรบมือเพื่อบูชาเทพเจ้าในการฝึกอีกด้วย
โดยการปรบมือสองครั้งแรกก็เพื่อ ขับไล่สิ่งชั่วร้ายในโรงฝึกให้ออกไปให้เหมาะสมกับที่เทพเจ้าจะเข้ามา
การคำนับครั้งแรกก็เพื่ออัญเชิญเทพเจ้ามาสถิต
และคุ้มครองการฝึกที่จะเกิดขึ้น จากนั้นการปรบมืออีกครั้งก็เพื่อชำระจิตใจและจิตวิญญาณให้พร้อมในการฝึก
จากนั้นคำนับอีกครั้งเพื่อทำความเคารพ

ในอดีตช่วงแรกสถานศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่นนั้นไม่ได้เปิดเป็นโรงเรียนสอนในแบบของปัจจุ​บัน
แต่จะเป็นลักษณะการเรียนกับอาจารย์โดยตรง อาจจะใช้พื้นที่ว่างในที่พักอาศัยเป็นสถานที่เพื่อการฝึก
ค่าฝึกในสมัยก่อนอาจจะไม่ได้ให้เป็นตัวเงิน แต่เป็นการออกแรงแทนเช่นการทำงานบ้าน การช่วยงานอาจารย์ในด้านต่าง ๆ
พออาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นก็จึงเปิดเป็นโรงฝึกที่แยกออกมาเป็นลักษณะโรงฝึก แต่ก็ยังมีลักษณะความผูกพันธ์
ระหว่างศิษย์กับอาจารย์อยู่อย่างแน่นแฟ้น อย่างคำว่า โซเกะ (soke) ที่มักพบตามศิลปะการต่อสู้โบราณนั้น
นั้นหากแปลตรงตัวจะหมายถึงผู้นำหมู่บ้านหรือหัวหน้าครอบครัว ที่แสดงถึงลักษณะว่าผู้ฝึกนั้นเสมือนคนหนึ่งในครอบครัว
จะต่างจากปัจจุบันที่วิชาสมัยใหม่จะเป็นลักษณะของประธานสมาคมแทน

ปัจจุบันสถานที่ฝึกสอนหลายชนิดเปลี่ยนรูปแบบจากโรงฝึกไปเป็นลักษณะที่มีแบบอย่างมาจา​กฝรั่ง
และมองผู้ฝึกในฐานะลูกค้ามากกว่าลูกศิษย์แบบเดิม ๆ ลักษณะของสถานที่ฝึกสอนก็กลายเป็นเหมือนยิมสำหรับการออกกำลังกันเสียมากกว่า
คือ เข้ามาชำระเงินเพื่อฝึกแล้วก็ฝึกหลังจากนั้นก็กลับบ้าน ต่างจากลักษณะการต่อสู้โบราณของญี่ปุ่นแต่ก่อน
แม้แต่ในโรงฝึกของบูจินกันในต่างประเทศเอง เนื่องจากลักษณะวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันก็เกิดลักษณะผู้ฝึกที่ไม่เข้าใจ
ขนบธรรมเนียมการฝึกแบบญี่ปุ่นจำนวนมาก ในโดโจนั้นตัวผู้ฝึกเองก็เป็นผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมในโรงฝึก อย่างเช่นในญี่ปุ่น
หลังฝึกเสร็จบรรดาลูกศิษย์จะวิ่งเข้าหาไม้กวาด เพื่อที่จะทำความสะอาดโรงฝึกไม่ใช่เพียงจ่ายเงินแล้วกลับเลย
แต่อีกทางก็เห็นฝรั่งหลาย ๆ คนไม่สนใจกลับไปก่อนไม่มีแม้แต่การเคารพบรรดาอาจารย์ด้วยซ้ำทำเหมือนจ่ายเงินแลกวิชา​ซะมากกว่า
ในโรงฝึกของบูจินกันเวลาอาจารย์มาซึอะกิมาถึงบรรดาชิฮันญี่ปุ่นจะไปยืนต้อนรับและช่ว​ยถือของ
ผมเองก็จะเห็นบรรดาชิฮันญี่ปุ่นที่ฝึกมาหลายสิบปีที่มายืนรอส่งอาจารย์มาซึอะกิ ถ้าอาจารย์ยังไม่กลับก็กลับไม่ได้
ในบ้านเราเองขนบธรรมเนียมของเราค่อนข้างคล้ายกับญี่ปุ่นในเรื่องนี้จึงไม่มีปัญหาเท่​าไรนัก

ความจริงแล้วโดโจหรือโรงฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นจะไม่มองว่าผู้ที่เข้ามาฝึกเป็นลูกค้า​ แต่จะมองความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
ในลักษณะของครอบครัวเสียมากกว่า ผู้ฝึกใหม่จะต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สอน และ ผ่านการฝึกด้วยความตั้งใจให้ได้
ในลักษณะการฝึกนั้นจะเป็นแบบการถ่ายทอดผ่านการกระทำโดยไม่มีเงื่อนไข อย่างเช่นบางคนจะเคยได้ยินเรื่องของสำนักดาบที่
อาจารย์จะให้ศิษย์ฟันหุ่นไม้วันละเป็นพันครั้งหมื่นครั้งตลอดปีโดยไม่มีการให้ฝึกอย่​างอื่นเลย หรือ เรื่องของนักดาบที่เข้าสำนักแต่
อาจารย์ไม่สอนอะไรเลยเป็นปี ๆ แถมยังเผลอไม่ได้จะถูกอาจารย์เอาดาบไม้ตีตลอดเวลา จนเวลาผ่านไปอาจารย์ไม่สามารถตีศิษย์ได้อีก
ก็ถือว่าศิษย์ได้ฝึกวิชาจบสิ้นเพราะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครสามารถเข้าทำร้ายได้ แต่ปัจจุบันอาจจะเนื่องด้วยเป็นสมัยใหม่แล้ว
ผู้ฝึกใหม่สมัยนี้ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น พอสั่งให้ทำบางครั้งยังไม่ทันทำก็ถามเสียก่อนแล้วว่าทำไมต้องทำ
พอทำไปได้หน่อยก็เบื่อก็เลิกไปก่อนที่จะไปถึงจุดที่จะมีความเข้าใจ บางคนคิดว่าตัวเองทำได้แล้วก็เลิกทำเองเสียอย่างนั้น
ในระบบการฝึกจริง ๆ แล้วนั้นคำสั่งคือคำสั่งให้กระทำตามไม่ใช่จะทำอะไรตามใจตัว ไม่งั้นก็อย่ามาฝึกเสียดีกว่า

ในศิลปะการต่อสู้โบราณอย่างบูจินกันไม่ใช่วิชาที่ผู้ฝึกจะสามารถทำสิ่งที่สอนได้ทันท​ีแต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อความเข้าใจ
โดยแต่ละคนก็มีความเข้าใจที่ไม่เท่ากัน เหมือนที่โจโฉกล่าวว่า "นกน้อยใดเล่าจะเข้าใจถึงพญาเหยี่ยว"
ผู้ฝึกใหม่มักไม่มีสายตาที่ดีพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่สอนอยู่ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่ต้องการสอน
หากใช้เวลาขัดเกลาก็จะเพิ่มพูนทักษะของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จะสามารถมองเห็นได้ แต่น่าเสียดายว่าสมัยนี้ผู้ฝึกมักไม่มีความอดทนขนาดนั้น
ส่วนมากฝึกกันเพียงไม่กี่ครั้งก็โดนอีโก้ของตัวเองบดบัง
คิดว่าตนทำได้แล้วบ้าง หรือ คิดว่าไม่รู้เรื่องแล้วเลิกดีกว่าบ้าง ทำให้เปอร์เซ็นต์ผู้ฝึกใหม่ส่วนมากจะเลิกกันเกือบหมด
โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าตนทำได้แล้วก็มักทำตัวเป็นพวกน้ำเต็มแก้วจนไม่มีการพัฒนาเพิ่มเ​ติมไปอย่างน่าเสียดาย
โดยเรื่องแบบนี้ผู้สอนไม่สามารถช่วยได้ เป็นเรื่องที่คนต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง
หากไม่สามารถพิสูจน์ตนเองได้ว่าเป็นผู้เหมาะกับการฝึกผู้สอนเองก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาออกไปได้ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

การฝึกศิลปะการต่อสู้แบบของบูจินกันเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ยังเป็น​ส่วนสำคัญในการฝึก
เพราะในบูจินกันการฝึกนั้นถ่ายทอดออกมาด้วยความรู้สึก ความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงว่าทำท่าถูกแล้วจะถูกต้อง
ผู้สอนจะทำการพิจารณาผู้ฝึกว่าถึงระดับที่จะสามารถถ่ายทอดวิชาออกไปได้หรือไม่ โดยจะเป็นเรื่องของเฉพาะบุคคล
และระดับในการถ่ายทอดไปที่แต่ละคนก็ไม่ได้เท่ากันโดยขึ้นกับความสามารถของศิษย์ในระด​ับนั้น ๆ ด้วย
หากศิษย์ไม่สามารถทำให้ผู้สอนเชื่อมั่นว่าสามารถรับการถ่ายทอดได้ ทั้งในเรื่องของทักษะความสามารถ
นิสัยใจคอ ความอดทน ความเชื่อใจ ก็จะไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาในระดับต่อ ๆ ไปได้
ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่ผู้ฝึกใหม่จะถูกเน้นที่การฝึกพื้นฐาน เสียมากกว่าเทคนิค
โดยระหว่างนั้นก็จะถูกมองและตัดสินในทุก ๆ เรื่อง โดยใช้เวลานานก่อนที่จะได้รับการยอมรับเข้าสู่การฝึกที่จริงจังขึ้นไป
และ อย่างที่บอกว่าน่าเสียดาย มีคนจำนวนน้อยที่ผ่านจุดนั้นไปได้
แต่ในบูจินกันสิ่งนั้นกลับไม่ใช่ปัญหา เพราะ อาจารย์มาซึอะกิเองก็เน้นย้ำไว้
เรื่องที่หาคนดีเข้ามาฝึกไม่ใช่เน้นที่จำนวน โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าฝึกไม่ปิดกั้นได้โดยมีเงื่อนไขเดียวกัน