เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ถึงเรื่องศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกขาน
นักรบ และ นักศิลปะการต่อสู้ ที่แตกต่างกัน จึงขอแชร์มาให้กันฟังครับ
ในภาษาญี่ปุ่น นักศิลปะการต่อสู้โบราณหลาย ๆ คนยัง เรียกตัวเองว่า
Bugeisha ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ตรงกับคำว่า Warrior หรือ นักรบนั่นเอง
ส่วนบางส่วนเรียกตัวเองว่า Budoka ซึ่งหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้
เพื่อความเข้าใจ สมัยนี้มักแปลคำว่า bu ว่าการต่อสู้ แต่จริง ๆ คำว่า bu มีความหมายในทางลึกกว่าการต่อสู้ เพราะหมายถึงการสงคราม เช่น แทคติก การวางแผนการรบ กลอุบายต่าง ๆ )
คำว่า Bugeisha และ Budoka อาจจะดูคล้ายกันในด้านความหมาย และ ความรู้สึกสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึก
แต่ความหมายลึก ๆ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
คำว่า bugeisha เป็นคำเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนยุคเอโดะ และ เมจิ ตั้งแต่ในยุคสมัยของการรบพุ่งและสมัยของซามูไร โดยคำว่า Sha มีความหมายถึงคน ๆ หนึ่ง ส่วน Bugei หมายถึง ศิลปะในการสงคราม ดังนั้นคำว่า bugeisha จะหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้หรือนักรบในสมัยก่อนที่ไม่ต้องมองในเรื่องของศิลปะ หรือ กีฬา เป็นนักรบที่ไม่ต้องมีระดับสาย หรือ การแข่งขัน แต่มีการฝึกเพื่อใช้ในการรบพุ่งเท่านั้น
ส่วนคำว่า budoka นั้น คำว่า budo เป็นคำใหม่ที่มีมาในยุค เปลี่ยนจากเอโดะเป็นเมจิ ในยุคหลังที่ซามูไรกลายเป็นสิ่งล้าสมัย และ รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกระบบซามูไร ทำให้ซามูไรจำนวนมากตกงาน
ทำให้ซามูไรจำนวนหนึ่งใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมาในการสอนและเกิดคำว่า budo ซึ่งแปลได้ว่า วิถีในการรบ หรือ วิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ ซึ่งคำว่า do(โด) นั้นเอารากศัพท์มาจากคำอื่น ๆ อย่าง saado (วิถีแห่งการชงชา), kaado (วิถีแห่งการจัดดอกไม้) และ shoodo(วิถีการเขียนพู่กัน) ส่วนคำว่า Ka(家) นั้นหมายถึงครอบครัว คำว่า budoka จะหมายได้ถึงคนที่อยู่เป็นผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือ นักศิลปะการต่อสู้นั่นเอง
ดังนั้นบางทีในญี่ปุ่นก็จะได้ยินคำเรียกนักยูโดว่า judoka หรือ นักคาราเต้ว่า karateka
คำว่านักรบและนักศิลปะการต่อสู้ แตกต่างกันอย่างไร อยากให้ลองคิดกันดูครับ
ในบูจินกันมักมีการแชร์บทกลอนบัญญัติของนักรบ (The Warrior Creed)
โดย Robert L. Humphrey อดีตทหารจากการรบที่เกาะอิโวจิม่า และ บูจินกันสิบดั้ง ที่ว่า
Wherever I go, ไม่ว่าฉันเดินทางไปที่ไหน
everyone is a little bit safer because I am there. ทุกคนจะปลอดภัยมาขึ้นเพราะฉันอยู่ที่นั่น
Wherever I am, ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน
anyone in need has a friend. ทุก ๆ คนจะมีมิตร
Whenever I return home, เมื่อฉันกลับบ้าน
everyone is happy I am there. ทุกคนมีความสุขที่ฉันอยู่ที่นั่น
"It's a better life!" นั่นคือชีวิตที่ดีกว่า
อาจารย์ทากามะซึเองก็เคย กล่าวไว้ว่า แก่นของศิลปะการต่อสู้ก็คือการปกป้อง นอกจากการป้องกันร่างกายแล้วก็ยังปกป้องในจิตวิญญาณของตนอีกด้วย ถ้าคุณใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยจิตใจที่บกพร่อง หรือ ใช้ในทางที่ผิดแทนที่จะป้องกันตัวเอง จุดจบของการทำแบบนั้นก็คือความตาย
อะไรคือความแตกต่างระหว่าง นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้ ถึงแม้ทุกแบบจะเป็นผู้ใช้วิชาการต่อสู้แต่ก็แตกต่างกัน ผมเคยได้อ่านบทความดี ๆ อันนึงมานานแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน เขาสรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่าความแตกต่างระหว่างคำแต่ละคำนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสู้เพื่ออะไร และ เพื่อใคร
ไม่อยากจะดึงภาพบุคคลใด ๆ มา จึงขอยืมภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ จากภาพยนตร์เรื่อง
ร๊อคกี้ ที่แสดงความดีใจในชัยชนะและได้รับเข็มขัดแชมป์เปี้ยน
ร๊อคกี้ ที่แสดงความดีใจในชัยชนะและได้รับเข็มขัดแชมป์เปี้ยน
และ อีกภาพจากอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เป็นภาพทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยคุ้มครองชาวบ้านและเด็ก ๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน
จากรูปทั้งสอง ผมว่าคงเข้าใจในความแตกต่างระหว่างที่ว่าแต่ละคนสู้เพื่ออะไร สิ่งตอบแทนที่ได้รับ และ ทำเพื่อใคร นั่นคือความแตกต่างของ นักรบ, นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬานั่นเอง
ไม่ว่าการเลือกเดินทางไหนไม่ใช่สิ่งผิด แต่ก็ขอให้อย่าลืมเลือนจุดเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้
เพราะบางครั้งคุณอาจจะถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อคนอื่น ๆ ได้ไหมนั่นเอง