Tuesday, December 17, 2013

นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้



เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ถึงเรื่องศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกขาน
นักรบ และ นักศิลปะการต่อสู้ ที่แตกต่างกัน จึงขอแชร์มาให้กันฟังครับ
ในภาษาญี่ปุ่น นักศิลปะการต่อสู้โบราณหลาย ๆ คนยัง เรียกตัวเองว่า
Bugeisha ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็ตรงกับคำว่า Warrior หรือ นักรบนั่นเอง
ส่วนบางส่วนเรียกตัวเองว่า Budoka ซึ่งหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้

เพื่อความเข้าใจ สมัยนี้มักแปลคำว่า bu ว่าการต่อสู้ แต่จริง ๆ คำว่า bu มีความหมายในทางลึกกว่าการต่อสู้ เพราะหมายถึงการสงคราม เช่น แทคติก การวางแผนการรบ กลอุบายต่าง ๆ )

คำว่า Bugeisha และ Budoka อาจจะดูคล้ายกันในด้านความหมาย และ ความรู้สึกสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึก
แต่ความหมายลึก ๆ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

คำว่า bugeisha เป็นคำเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ก่อนยุคเอโดะ และ เมจิ ตั้งแต่ในยุคสมัยของการรบพุ่งและสมัยของซามูไร  โดยคำว่า Sha มีความหมายถึงคน ๆ หนึ่ง ส่วน Bugei หมายถึง ศิลปะในการสงคราม ดังนั้นคำว่า bugeisha จะหมายถึงนักศิลปะการต่อสู้หรือนักรบในสมัยก่อนที่ไม่ต้องมองในเรื่องของศิลปะ หรือ กีฬา เป็นนักรบที่ไม่ต้องมีระดับสาย หรือ การแข่งขัน แต่มีการฝึกเพื่อใช้ในการรบพุ่งเท่านั้น

ส่วนคำว่า budoka นั้น คำว่า budo เป็นคำใหม่ที่มีมาในยุค เปลี่ยนจากเอโดะเป็นเมจิ ในยุคหลังที่ซามูไรกลายเป็นสิ่งล้าสมัย และ รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกระบบซามูไร ทำให้ซามูไรจำนวนมากตกงาน
ทำให้ซามูไรจำนวนหนึ่งใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมาในการสอนและเกิดคำว่า  budo ซึ่งแปลได้ว่า วิถีในการรบ หรือ วิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ ซึ่งคำว่า do(โด) นั้นเอารากศัพท์มาจากคำอื่น ๆ อย่าง saado (วิถีแห่งการชงชา), kaado (วิถีแห่งการจัดดอกไม้) และ shoodo(วิถีการเขียนพู่กัน) ส่วนคำว่า Ka(家)  นั้นหมายถึงครอบครัว คำว่า budoka จะหมายได้ถึงคนที่อยู่เป็นผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือ นักศิลปะการต่อสู้นั่นเอง
ดังนั้นบางทีในญี่ปุ่นก็จะได้ยินคำเรียกนักยูโดว่า judoka หรือ นักคาราเต้ว่า karateka

คำว่านักรบและนักศิลปะการต่อสู้ แตกต่างกันอย่างไร อยากให้ลองคิดกันดูครับ

ในบูจินกันมักมีการแชร์​บทกลอนบัญญัติของนักรบ (The Warrior Creed)
โดย Robert L. Humphrey อดีตทหารจากการรบที่เกาะอิโวจิม่า และ บูจินกันสิบดั้ง ที่ว่า

Wherever I go,   ไม่ว่าฉันเดินทางไปที่ไหน 
everyone is a little bit safer because I am there. ทุกคนจะปลอดภัยมาขึ้นเพราะฉันอยู่ที่นั่น 
Wherever I am,  ไม่ว่าฉันอยู่ที่ไหน 
anyone in need has a friend. ทุก ๆ คนจะมีมิตร 
Whenever I return home, เมื่อฉันกลับบ้าน 
everyone is happy I am there. ทุกคนมีความสุขที่ฉันอยู่ที่นั่น 

"It's a better life!"  นั่นคือชีวิตที่ดีกว่า 

อาจารย์ทากามะซึเองก็เคย กล่าวไว้ว่า แก่นของศิลปะการต่อสู้ก็คือการปกป้อง นอกจากการป้องกันร่างกายแล้วก็ยังปกป้องในจิตวิญญาณของตนอีกด้วย ถ้าคุณใช้ศิลปะการต่อสู้ด้วยจิตใจที่บกพร่อง หรือ ใช้ในทางที่ผิดแทนที่จะป้องกันตัวเอง จุดจบของการทำแบบนั้นก็คือความตาย  

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง นักรบ นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬาการต่อสู้ ถึงแม้ทุกแบบจะเป็นผู้ใช้วิชาการต่อสู้แต่ก็แตกต่างกัน ผมเคยได้อ่านบทความดี ๆ อันนึงมานานแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน เขาสรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่าความแตกต่างระหว่างคำแต่ละคำนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสู้เพื่ออะไร และ เพื่อใคร 

ไม่อยากจะดึงภาพบุคคลใด ๆ มา จึงขอยืมภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตมาใช้ จากภาพยนตร์เรื่อง
ร๊อคกี้ ที่แสดงความดีใจในชัยชนะและได้รับเข็มขัดแชมป์เปี้ยน


และ อีกภาพจากอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เป็นภาพทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่คอยคุ้มครองชาวบ้านและเด็ก ๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน


จากรูปทั้งสอง ผมว่าคงเข้าใจในความแตกต่างระหว่างที่ว่าแต่ละคนสู้เพื่ออะไร สิ่งตอบแทนที่ได้รับ และ ทำเพื่อใคร นั่นคือความแตกต่างของ นักรบ, นักศิลปะการต่อสู้ และ นักกีฬานั่นเอง 

ไม่ว่าการเลือกเดินทางไหนไม่ใช่สิ่งผิด แต่ก็ขอให้อย่าลืมเลือนจุดเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้  
เพราะบางครั้งคุณอาจจะถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะทำเพื่อคนอื่น ๆ ได้ไหมนั่นเอง 





 

Tuesday, December 10, 2013

ไม่ต้องทำตนให้ดูน่ากลัว



ปัจจุบันนักศิลปะการต่อสู้จำนวนมากมักพยายามทำตัวให้ดูน่ากลัว ตั้งแต่ด้านร่างกาย เสื้อผ้า ทรงผม
หรือ กระทั่งเพิ่มรอยสัก รอยเจาะให้ตนเอง แต่ตั้งแต่อดีตมาไม่ว่านักรบ ผู้ฝึกนินจุสสุ หรือ นินจา
จะใช้แนวทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับนักรบจริง ๆ ยิ่งไม่จำเป็นต้องตกแต่งแต่งเติมตัวเอง
เพราะยิ่งจะตกเป็นเป้าหมายของศัตรูมากขึ้น ยกตัวอย่างในสถานการณ์การรบในปัจจุบันชุดของทหารในสถานการณ์ที่เข้าสู่พื้นที่ ๆ ทำการรบบรรดาเครื่องหมายทั้งหลาย หรือ กระทั่งเครื่องหมายยศก็จะถูกพรางไปกับสีเสื้อเสียหมด จนแทบไม่เห็นความแตกต่างกับผู้บังคับบัญชากับทหารทั่วไป

ยิ่งในยุคสมัยของสงครามของญี่ปุ่นในอดีตที่มักจะมีการปลอมแปลงตนไปอยู่ท่ามกลางคนทั่วไป ก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ที่จะทำตนให้ดูน่ากลัว เพราะเป็นอันตรายกับตัวมากกว่า ยิ่งการสักร่างกายเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามที่นิยมกันในปัจจุบัน แทบจะเป็นสิ่งต้องห้ามของนินจาในสมัยก่อน เพราะเป็นการสร้างตำหนิที่ไม่สามารถลบได้จะเป็นจุดสังเกตที่ถูกสังเกตและจดจำได้โดยง่ายจากคนอื่น ๆ

เมื่อทำการปลอมแปลงร่างกาย นินจานั้นกล่าวกันว่ามักปลอมแปลงตัวเองไปในชุดและอาชีพที่ไม่สะดุดตา เช่น นักบวช หรือ พ่อค้า ที่สามารถเดินทางไปต่างถิ่นพร้อมพกพาอาวุธโดยที่คนไม่ดูแปลกแยก การทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรือแสดงความเก่งกาจของตนเองยิ่งจะเป็นอันตรายกับตนเสียมากกว่า เพราะ คู่ต่อสู้หรืออีกฝ่ายจะทราบได้ง่าย ยิ่งอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นนักรบที่มีฝีมือมากก็ยิ่งจะหาวิธีมาต่อสู้จนรับมือได้ยากขึ้น เช่น ใช้คนจำนวนมาก หรือเตรียมพร้อมด้านอาวุธมาใช้แทน อีกอย่างหนึ่ง คือ แน่นอนว่าสำหรับศัตรูแล้ว นักรบที่มีฝีมือแล้วดูเหมือนคนปรกติธรรมดาจนไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครในหลายภารกิจนั้นน่ากลัวกว่านักรบที่มีฝีมือแต่เปิดเผยทุกอย่างให้คู่ต่อสู้รู้ว่าตนเป็นใคร อยู่ที่ไหน และ ใช้การต่อสู้แบบใด อย่างคำกล่าวที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เมื่อไม่ว่าศัตรูเป็นใครก็ย่อมไม่รู้ว่าจะมีการต่อสู้แบบไหน และ รับมือแบบไหนดี

ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ที่มีเป้าหมายในการฝึกฝนตนเองก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องแสดงตนอวดหรือไม่ต้องไปบอกคนอื่นตนเองเก่ง ผมเคยคุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นบางท่าน ท่านก็ชี้ให้ดูถึงนิสัยของชาวต่างชาติที่มาเข้าฝึกหลายครั้งบางพฤติกรรมนั้นไม่ได้ดูสวยงามเลย เช่น การใส่เสื้อยืดของโรงฝึกไม่ว่าจะวิชาใด ๆ ของตนนอกโรงฝึก การใส่ชุดหรือสายเก่า ๆ เพื่อให้ดูว่าเป็นผู้ฝึกที่ฝึกมานานแล้ว และ การมาปั้นหน้ายืนเก๊กอยู่ในโรงฝึก จากในสายตาของผู้ฝึกอาวุโสจริง ๆ เวลามองเห็นคนทำแบบนี้แล้ว มันเหมือนดูเด็กนักเรียนที่พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง











 


Ninja face หน้ากากนินจา



ปรกติในญี่ปุ่น ผมจะเข้าฝึกกับอาจารย์ชิราอิชิ ซึ่งเป็นชิฮันอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
ท่านเป็นชิฮันไม่กี่คนที่อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้วที่ยังเป็นอุเคะให้อาจารย์มะซะอะกิอยู่
อาจารย์ชิราอิชิขึ้นชื่อในความใจดี ความสุภาพ ภาพที่พบเห็นของคนส่วนมากคืออาจารย์
จะมาพร้อมรอยยิ้ม  ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเพียงฉากหน้า แต่บางครั้งประกายตาของท่านก็แสดงความรู้สึกแบบอื่นมา สำหรับลูกศิษย์ในโรงฝึกแล้วรอยยิ้มไม่ได้หมายถึงความใจดี แต่มันคือ Ninja face หรือหน้ากากนินจา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือ อาจารย์ทากามัสซึนั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้ และ การต่อสู้เมื่อเดินทางไปที่ประเทศจีนจนมีฉายาเสือแห่งมองโกล แต่ก็จำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่อยู่ในแวดวงนักศิลปะการต่อสู้เท่านั้นแต่คนทั่วไปในระแวกบ้านท่าน ยังไม่เคยทราบว่าท่านเป็นใครด้วยซ้ำ และ ถึงจะเป็นกลุ่มนักศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่นเองก็ทราบเพียงว่าท่านเป็นผู้สืบทอดวิชาการต่อสู้ที่แพร่หลายทางสายการทหารอย่าง คุคิ ริว แต่แทบไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปทราบว่าท่านเป็นผู้สืบทอดของทั้งเก้าสายวิชา

สำหรับรอยยิ้มของอาจารย์ชิราอิชิ หรือ กระทั่งอาจารย์มาซะอะกิก็เช่นเดียวกัน ที่มักจะยิ้มและแสดงออกภายนอกด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นมิตร แต่จะซ่อนอารมณ์ทั้งหมดอยู่ข้างในนั่นเอง

นักศิลปะการต่อสู้ ไม่ควรลืมการใช้ ninja face ให้มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมากเกินไป เก็บความตื่นเต้นไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่แสดงออกถึงการตกใจ ความกลัว ความแตกตื่น และ ความยินดีจนเสียกริยา

万変不驚
Banpen Fugyo 
การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่สั่นคลอน
(การเปลี่ยนแปลงนับหมื่นก็ไม่ประหลาดใจ)



   

Tuesday, November 5, 2013

สอนเป็นคอร์ส สอนส่วนตัว?



เมื่อไม่นานมานี้มีฝรั่งคนหนึ่งส่งเมล์มาหาผมว่าตอนนี้ทำงานอยู่ในตะวันออกกลาง
กำลังจะเดินทางมาพักผ่อนกับเพื่อนและอยากเข้าฝึก โดยถามมาว่าคิดราคาคอร์สเท่าไร
ต้องการการสอนเป็นกลุ่มส่วนตัว  ซึ่งพอผมได้เห็นก็ตอบกลับไปว่าเราไม่มีการสอนเป็นคอร์ส
และ ไม่มีการสอนส่วนตัว ทางนั้นเลยถามกลับมาอีกทีว่า "Why?" เพราะความไม่เข้าใจ

เรื่องแบบนี้เห็นได้บ่อยในโลกของทุนนิยมปัจจุบัน ที่วิชาการต่อสู้กลายเป็นสินค้าและบริการชนิดหนึ่งไปแล้ว ในศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของญี่ปุ่นการเข้าฝึกไม่ได้เป็นไปโดยง่าย เพียงแค่จ่ายเงินเข้าและสมัยเข้าไปก็ได้แบบสมัยนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปวิชาสมัยใหม่เข้ามา และ ศิลปะการต่อสู้จำนวนมากกลายเป็นเรื่องของธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อวิชาไปเผยแพร่ในต่างแดน จนความเข้าใจของคนจำนวนมากผิดเพี้ยนไป

ในญี่ปุ่นนั้นปัจจุบันในวิชาศิลปะการต่อสู้โบราณส่วนมากที่ญี่ปุ่น ก็ยังไม่มีการสอนเป็นคอร์ส
ส่วนมากไม่มีการโฆษณา ไม่มีการประกาศว่าเปิดรับสมัครพร่ำเพรื่อ และ ฝึกกันอยู่ในกลุ่มเท่านั้น
ผู้ที่จะเข้าฝึกจะต้องค้นหา และ ขอเข้าฝึกเอง โดยมากจะต้องมีคนรับรองเพื่อเข้าฝึกด้วย

ในบูจินกันเองเช่นกัน ในญี่ปุ่นนั้นผมยังไม่เคยเห็นมีการสอนเป็นคอร์ส หรือ เป็นการสอนส่วนตัว
เพราะการสอนเป็นคอร์สนั้น ไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไรสำหรับนักเรียนที่มาเข้าฝึกในแนวของบูโด
เนื่องจากคอร์สมีการเรียนที่ต้องจำกัดเวลา แต่คนส่วนมากที่เข้าฝึกประจำนั้น การฝึกเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ฝึกกันเป็นปีเป็นสิบปีก็เลยไม่สามารถทำเป็นคอร์สได้ ส่วนที่ไม่มีการสอนเป็นส่วนตัวนั้นก็เพราะคนสอนเองเกือบทุกคน(นอกจากที่เกษียณไปแล้ว)มีงานทำกันทั้งนั้น ไม่ได้ใช้วิชาที่ฝึกมาเพื่อการประกอบอาชีพ ดังนั้นจะไม่มีเวลาว่างเท่าไรนัก การสอนส่วนมากในญี่ปุ่นจึงอยู่ในวันเสาร์อาทิตย์และตอนเย็น นอกจากนั้นเวลาที่เหลือก็จะแบ่งแบบเวลาไปใช้กับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การใช้ชีวิตกับครอบครัว การพักผ่อน เรื่องการที่จะมาจ้างสอนคอร์สส่วนตัวจึงออกจะดูเป็นเรื่องประหลาดทีเดียว

จริง ๆ แล้วคนฝึกใหม่หลายคนยังมีความเชื่อผิด ๆ เป็นอันมากเรื่องการเรียนเป็นคอร์ส หรือ การเรียนตัวต่อตัวว่าจะได้ความรู้มากกว่าการเรียนในคลาสธรรมดา แต่โดยส่วนตัวเองด้วยประสบการณ์ผ่าน ๆ มาผมไม่คิดแบบนั้น

การเรียนเป็นคอร์สระยะสั้น ในบางวิชาอาจจะทำได้ เช่น คอร์สสอนการป้องกันตัวพื้นฐานต่าง ๆ
แต่ในวิชาที่ใหญ่และมีเรื่องต้องถ่ายทอดมากไม่มีทางทำได้ เพราะ อย่างในบูจินกันเองการฝึกฝนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาคนที่ฝึกสิบปีผ่านไปก็ยังพบว่าวิชามีความยากอยู่ แล้วคนที่เรียนเพียงไม่กี่ครั้งจะได้อะไรจากการฝึก โดยส่วนมากที่โรงฝึกหกเดือนถึงปีแรกจะมุ่งหวังที่การฝึกเคลื่อนไหวพื้นฐาน การหัดล้ม และท่าพื้นฐานต่าง ๆ  เพียงเท่านั้น ซึ่งส่วนมากสองสามเดือนแรกม้วนหน้าหลังจะยังไม่รอดกันเลย ถ้าทำคอร์สฝึกสามเดือนดูท่าจะได้เงินเยอะแต่สงสารนักเรียนที่จะได้ฝึกอะไรเพียงผิวเผินเท่านั้น

ส่วนการเรียนแบบส่วนตัวนั้นในบางวิชาอาจจะมีผลดี แต่ในบางวิชาผลอาจจะต่างกันไป เพราะศิลปะการต่อสู้ผลที่ได้มาจากการซ้อม การฝึกฝนจนชำนาญ​ คู่ซ้อมควรจะมีความหลากหลาย ไม่ใช่เพียงคนสองคนเท่านั้น ในการฝึกด้วยระยะเวลายาวนานคนฝึกจะได้เจอกับคู่ฝึกหลาย ๆ แบบ ทั้งตัวเล็กใหญ่ น้ำหนัก ขนาดร่างกาย ลักษณะกล้ามเนื้อ โครงร่างกระดูก ความอึด การตอบโต้ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นจะสร้างขึ้นมาในตัวคน ๆ หนึ่งได้จะใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว เมื่อเทียบกับแล้วการเรียนในคลาสธรรมดาทั่วไปในระยะเวลานานจึงมีความสำเร็จดีกว่า

คำว่า "โด" ในอักษรคันจินั้นเป็นแปลได้หลายความหมาย เช่น แนวทาง, วิถี, ถนน
เมื่อจะเข้าสู่ "โด" ในวิถีแห่งศิลปะการต่อสู้แล้วทางที่จะไปนั้นยาวไกล บางคนอาจจะเดินไปไม่สุดทาง
บางคนอาจจะไปไกลมากกว่าคนอื่น แต่ยังไงก็ตามขอแนะนำอย่าหวังอะไรเพียงฉาบฉวยและมองสั้นเกินไป



 

 

 

Sunday, October 20, 2013

ชูริเคน ดาวกระจายกับไทจุสสุ


เมื่อเอ่ยถึงนินจา สิ่งที่คนทั่วไปนึกถึงอย่างนึงคือดาวกระจายหรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่าชูริเคน
ประเภทของชูริเคน มีมากหลายชนิดหลายแบบตามจุดประสงค์การใช้งาน และ เอกลักษณ์แต่ละสำนัก
แต่ก็ใช่ว่าถ้าขว้างชูริเคนเป็นแล้วจะต้องยึดติดกับแบบ เพราะควรจะใช้ได้ทุก ๆ แบบเมื่อรู้วิธีการที่ถูกแล้ว
ในโตกาคุเระริว ใช้ชูริเคนแบบเซมบัง ที่เป็นสี่เหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ และ ใช้โบชูริเคน (ชูริเคนแบบแท่ง)
ที่เหมือนกับในคิคุชินเด็นริว โดยวิชาการขว้างอาวุธนี้ถูกเรียกว่าชูริเคนจุสสุ 

ชูริเคนไม่ใช่อาวุธที่ใช้เฉพาะสำหรับนินจา แต่ในอดีตซามูไรเองก็มีการฝึกชูริเคนด้วยเช่นกัน
โดยเป็นหนึ่งในวิชาที่เขียนไว้ใน Bugei Juhappan ทักษะสิบแปดประการของนักรบ  




ชูริเคนขว้างไม่ยากโดยเฉพาะเมื่อผู้ฝึกเข้าใจในไทจุสสุแล้ว ท่าคิฮอนพื้นฐานต่าง ๆ
กลายเป็นท่าที่สามารถใช้กับชูริเคนได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคิฮอนแฮปโป และ ซันชินโนะกาต้า
พื้นฐานไทจุสสุจึงมีความสำคัญกับชูริเคนมาก ในบูจินกันการขว้างชูริเคนไม่ใช่แค่การยืนขว้าง
ให้ปักกับเป้า แต่คือการกลมกลืนร่างกายไปกับอาวุธ และ ดึงความสามารถของอาวุธมาใช้งาน

ในคลิปคือ ชิโดชิ Duncan Stewart หนึ่งในชิฮันของบูจินกัน สาธิตตัวอย่างการขว้างชูริเคนพร้อมกับการเคลื่อนไหวร่างกายในแบบต่าง ๆ ถ่ายทำที่บูจินกัน ฮอมบูโดโจ 












Friday, October 4, 2013

Modern in Tradition ...


ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับอาจารย์ชิราอิชิ หลังฝึกเสร็จจึงขอมาเล่าสู่กันฟังครับ

อาจารย์ท่านเล่าว่าบูจินกันเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณแต่ไม่โบราณ
โดยลักษณะการฝึกนั้นมีความคิดที่ไม่ให้ยึดติด  วิชาของบูจินกันนั้น 
ในการฝึกตามปรกติแล้วไม่ยึดติดในกาต้า หรือ พูดง่าย ๆ คือไม่ยึดติดในรูปแบบ
ถึงแม้จะมีกาต้ามาจากวิชาที่สืบทอดมาก็ตาม แต่กาต้าที่เรียนนั้นก็เป็นเพียงพื้นฐาน 
แต่ที่สำคัญคือความคิด ที่สะสมมากว่า 900 ปีต่างหาก 

เขียนเองยังอ่านแล้ว งง ๆ ขอขยายความแล้วกันครับ 

ท่าเป็นของตาย แต่คนเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ 

ถ้าใครเคยดูหนังจีนจะเห็นว่า แต่ละวิชาจะมีท่าที่เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง 
ซึ่งในบูจินกันก็มีเช่นกัน ในแต่ละริว ๆ ทั้งเก้าริวของบูจินกันก็จะมีท่าเฉพาะตัวอยู่ 
ซึ่งมักถูกใช้ในการฝึกพื้นฐาน ในระดับการฝึกของผู้ฝึกระดับต้น 
ก็ทำให้คนฝึกหลาย ๆ คนที่มุ่งหวังจะฝึกให้สำเร็จ ก็ถึงกับนั่งท่องท่าพวกนี้กันเลยทีเดียว
ซึ่งในการฝึกของนินจุสสุจริง ๆ แล้วเรื่องการท่องชื่อมันไม่สำคัญ
นินจุสสุ จึงไม่มีการสอบสายเพื่อขึ้นระดับสายสูงขึ้นด้วยท่าพวกนี้ 
จากความจริงที่ว่า ถ้านั่งท่องชื่อท่าไป หรือ สักแต่ว่าทำท่าตามที่เรียกไปก็ไม่ได้จะทำให้ผู้ฝึกพัฒนาดีขึ้น  (เหมือนระบบการศึกษาบ้านเราที่นั่งท่องตำราเป็นนกแก้วนกขุนทอง) 
แต่เน้นที่ความเข้าใจในแต่ละท่ามากกว่า  การจำวิชาแต่ละท่าเป็นแพทเทิร์นจึงไม่จำเป็น
(เพราะถ้าอยากรู้เมื่อไรก็เปิดหนังสือดูซะ) แต่ก้ใช่ว่าจะไม่รู้เพราะต้องฝึกมาตั้งแต่การฝึกพื้นฐาน 

แต่การไม่ยึดติดกับการไม่รู้นั้นต่างกัน คือต้องมีความรู้ในท่านั้น ๆ แต่ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะที่ฝึก
เพราะโลกนั้นเปลี่ยนไปทุกวัน วิธีการต่อสู้วิธีคิดจะต้องนำสิ่งที่มีมาใช้ได้ 
ยกตัวอย่างในอดีตครั้งกลุ่มนินจาอิกะเข้ามารับใช้ โตกุกาวะ อิเยยาสุ 
มีการจัดตั้งหน่วย hyakunin gumi เฮียกุนินกุมิ เป็นกองทหารที่มาจากกลุ่มนินจาอิกะและโคกะ
นอกจากแทคติคการต่อสู้แบบนินจาแล้ว อาวุธหลักของกองทหารนี้คือปืนยาวโบราณ  
เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านินจาก็มีการเปลี่ยนแปลงเข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ 

การฝึกในปัจจุบันเช่นกัน การฝึกนินจุสสุจะฝึกให้คิดและวิเคราะห์อยู่เสมอ
การต่อสู้แบบนินจุสสุคือการสู้เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น แต่เพื่อให้ภารกิจอยู่รอด
การสู้จนตัวตายก็ไม่ใช้ทางออกที่ดีที่สุดเพราะภารกิจด้านหลังก็จะจบไปด้วย 
แต่เมื่อสู้ก็ต้องหาทางที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะ
แนวคิดนี้เองทำให้นินจุสสุยังอยู่รอดจนทุกวันนี้ 
และยังทำให้การฝึกถูกนำไปใช้กับหน่วยงานปัจจุบันที่เห็นความสำคัญหลาย ๆ แห่ง 

จนถึงปัจจุบันการฝึกที่ญี่ปุ่นมักมีการแชร์ประสบการณ์จากผู้ฝึกในหลากหลายอาชีพ
โดยผู้ฝึกที่ได้นำนินจุสสุไปประยุคใช้ในสถานการณ์จริงต่าง ๆ กัน
แม้กระทั่งเรื่องที่ดูง่าย ๆ อย่าง การเผชิญกับคนเมาในร้านอาหาร
ผู้ทำงานในร้านอาหารหากเจอคนเมาควรจะรับมืออย่างไรอย่างละมุนละม่อม
วิธีการอุ้ม การพยุง การควบคุม จะทำอย่างไร

ในบางครั้งก็เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแก้ไขยากอย่างสถานการณ์ช่วยตัวประกัน
และ การฝึกที่ปรกติมักไม่มีการคิดถึงกัน เช่น เจ้าหน้าที่ ๆ Air marshal
มีลักษณะการต่อสู้บนเครื่องบินที่เคลื่อนที่ยากหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น เพราะทางเดินที่แคบ
ลักษณะของห้องโดยสารที่ไม่มีที่กว้างพอทำให้การเคลื่อนไหวต่อย เตะทั่วไปใช้งานยาก 
การทุ่ม การปล้ำก็ลงไปทำได้ยาก หรือ หากเกิดการไฮแจ๊คขึ้น จริง ๆ จะมักมีผู้ร่วมก่อเหตุ
มากกว่าหนึ่งคนการต่อสู้ควรทำอย่างไร ไม่ใช่ใช่แต่กำลังตัดสิน

จนกระทั่งการต่อสู้ในสนามรบปัจจุบันที่ วิชานินจา หรือนินจุสสุนั้นถูกนำไปประยุกใช้
ในหลายหน่วยงานโดยเฉพาะในต่างประเทศ

สถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นขุมความรู้ของวิชานินจุสสุที่ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา
ด้วยการฝึกต่อ ๆ กันมา และ ยังถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน   


  

เรื่องของโดโจ และ การฝึก


บทความเก่าลงไว้ที่ http://www.ninjutsu.in.th/membersys/newforum/showthread.php?tid=323

ปกติแล้วโรงฝึกของเราค่อนข้างผ่อนคลายพอสมควร
และปกติแล้วผู้ฝึกของเราก็เป็นผู้ใหญ่กันพอที่จะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
แต่หลัง ๆ มามีผู้เข้าใหม่จำนวนมากที่ยังไม่รุ้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ
จนกลายเป็นทำเรื่องที่เสียมารยาทในโรงฝึกบ่อยครั้ง วันนี้มาคุยเรื่องนี้กันสักหน่อย 

"โดโจไม่ใช่ยิม" เป็นประโยคที่ขึ้นไว้ในเวปของโรงฝึกใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว
คำว่า "โด" มีความหมายถึงวิธีหรือแนวทาง ส่วน "โจ" มีความหมายถึงห้องโถงหรือสถานที่ขนาดใหญ่
ดังนั้นคำว่า "โดโจ" ถึงมีความหมายถึงสถานที่ ๆ ใช่ฝึกวิถีทางต่าง ๆ เช่น สถานที่สอนศิลปะโบราณ
สอนพิธีชงชา และ มักใช้ในสถานสอนศิลปะการป้องกันตัวด้วย

ในโดโจนั้นจะถือว่าเป็นสถานที่สถิตของเทพในนิกายชินโต จึงเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์ของนักศิลปะการต่อสู้
โดยในโรงฝึกของญี่ปุ่นจะมีการตั้งคามิดะนะซึ่งหากแปลตรงตัวก็แปลว่าหิ้งของเทพเจ้า หากบ้านเราก็คงเรียกศาลบูชา
สำหรับบูจินกันก่อนฝึกจะมีการกล่าวเพื่อชำระจิตใจ และ การปรบมือเพื่อบูชาเทพเจ้าในการฝึกอีกด้วย
โดยการปรบมือสองครั้งแรกก็เพื่อ ขับไล่สิ่งชั่วร้ายในโรงฝึกให้ออกไปให้เหมาะสมกับที่เทพเจ้าจะเข้ามา
การคำนับครั้งแรกก็เพื่ออัญเชิญเทพเจ้ามาสถิต
และคุ้มครองการฝึกที่จะเกิดขึ้น จากนั้นการปรบมืออีกครั้งก็เพื่อชำระจิตใจและจิตวิญญาณให้พร้อมในการฝึก
จากนั้นคำนับอีกครั้งเพื่อทำความเคารพ

ในอดีตช่วงแรกสถานศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่นนั้นไม่ได้เปิดเป็นโรงเรียนสอนในแบบของปัจจุ​บัน
แต่จะเป็นลักษณะการเรียนกับอาจารย์โดยตรง อาจจะใช้พื้นที่ว่างในที่พักอาศัยเป็นสถานที่เพื่อการฝึก
ค่าฝึกในสมัยก่อนอาจจะไม่ได้ให้เป็นตัวเงิน แต่เป็นการออกแรงแทนเช่นการทำงานบ้าน การช่วยงานอาจารย์ในด้านต่าง ๆ
พออาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นก็จึงเปิดเป็นโรงฝึกที่แยกออกมาเป็นลักษณะโรงฝึก แต่ก็ยังมีลักษณะความผูกพันธ์
ระหว่างศิษย์กับอาจารย์อยู่อย่างแน่นแฟ้น อย่างคำว่า โซเกะ (soke) ที่มักพบตามศิลปะการต่อสู้โบราณนั้น
นั้นหากแปลตรงตัวจะหมายถึงผู้นำหมู่บ้านหรือหัวหน้าครอบครัว ที่แสดงถึงลักษณะว่าผู้ฝึกนั้นเสมือนคนหนึ่งในครอบครัว
จะต่างจากปัจจุบันที่วิชาสมัยใหม่จะเป็นลักษณะของประธานสมาคมแทน

ปัจจุบันสถานที่ฝึกสอนหลายชนิดเปลี่ยนรูปแบบจากโรงฝึกไปเป็นลักษณะที่มีแบบอย่างมาจา​กฝรั่ง
และมองผู้ฝึกในฐานะลูกค้ามากกว่าลูกศิษย์แบบเดิม ๆ ลักษณะของสถานที่ฝึกสอนก็กลายเป็นเหมือนยิมสำหรับการออกกำลังกันเสียมากกว่า
คือ เข้ามาชำระเงินเพื่อฝึกแล้วก็ฝึกหลังจากนั้นก็กลับบ้าน ต่างจากลักษณะการต่อสู้โบราณของญี่ปุ่นแต่ก่อน
แม้แต่ในโรงฝึกของบูจินกันในต่างประเทศเอง เนื่องจากลักษณะวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันก็เกิดลักษณะผู้ฝึกที่ไม่เข้าใจ
ขนบธรรมเนียมการฝึกแบบญี่ปุ่นจำนวนมาก ในโดโจนั้นตัวผู้ฝึกเองก็เป็นผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมในโรงฝึก อย่างเช่นในญี่ปุ่น
หลังฝึกเสร็จบรรดาลูกศิษย์จะวิ่งเข้าหาไม้กวาด เพื่อที่จะทำความสะอาดโรงฝึกไม่ใช่เพียงจ่ายเงินแล้วกลับเลย
แต่อีกทางก็เห็นฝรั่งหลาย ๆ คนไม่สนใจกลับไปก่อนไม่มีแม้แต่การเคารพบรรดาอาจารย์ด้วยซ้ำทำเหมือนจ่ายเงินแลกวิชา​ซะมากกว่า
ในโรงฝึกของบูจินกันเวลาอาจารย์มาซึอะกิมาถึงบรรดาชิฮันญี่ปุ่นจะไปยืนต้อนรับและช่ว​ยถือของ
ผมเองก็จะเห็นบรรดาชิฮันญี่ปุ่นที่ฝึกมาหลายสิบปีที่มายืนรอส่งอาจารย์มาซึอะกิ ถ้าอาจารย์ยังไม่กลับก็กลับไม่ได้
ในบ้านเราเองขนบธรรมเนียมของเราค่อนข้างคล้ายกับญี่ปุ่นในเรื่องนี้จึงไม่มีปัญหาเท่​าไรนัก

ความจริงแล้วโดโจหรือโรงฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นจะไม่มองว่าผู้ที่เข้ามาฝึกเป็นลูกค้า​ แต่จะมองความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
ในลักษณะของครอบครัวเสียมากกว่า ผู้ฝึกใหม่จะต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สอน และ ผ่านการฝึกด้วยความตั้งใจให้ได้
ในลักษณะการฝึกนั้นจะเป็นแบบการถ่ายทอดผ่านการกระทำโดยไม่มีเงื่อนไข อย่างเช่นบางคนจะเคยได้ยินเรื่องของสำนักดาบที่
อาจารย์จะให้ศิษย์ฟันหุ่นไม้วันละเป็นพันครั้งหมื่นครั้งตลอดปีโดยไม่มีการให้ฝึกอย่​างอื่นเลย หรือ เรื่องของนักดาบที่เข้าสำนักแต่
อาจารย์ไม่สอนอะไรเลยเป็นปี ๆ แถมยังเผลอไม่ได้จะถูกอาจารย์เอาดาบไม้ตีตลอดเวลา จนเวลาผ่านไปอาจารย์ไม่สามารถตีศิษย์ได้อีก
ก็ถือว่าศิษย์ได้ฝึกวิชาจบสิ้นเพราะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครสามารถเข้าทำร้ายได้ แต่ปัจจุบันอาจจะเนื่องด้วยเป็นสมัยใหม่แล้ว
ผู้ฝึกใหม่สมัยนี้ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น พอสั่งให้ทำบางครั้งยังไม่ทันทำก็ถามเสียก่อนแล้วว่าทำไมต้องทำ
พอทำไปได้หน่อยก็เบื่อก็เลิกไปก่อนที่จะไปถึงจุดที่จะมีความเข้าใจ บางคนคิดว่าตัวเองทำได้แล้วก็เลิกทำเองเสียอย่างนั้น
ในระบบการฝึกจริง ๆ แล้วนั้นคำสั่งคือคำสั่งให้กระทำตามไม่ใช่จะทำอะไรตามใจตัว ไม่งั้นก็อย่ามาฝึกเสียดีกว่า

ในศิลปะการต่อสู้โบราณอย่างบูจินกันไม่ใช่วิชาที่ผู้ฝึกจะสามารถทำสิ่งที่สอนได้ทันท​ีแต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อความเข้าใจ
โดยแต่ละคนก็มีความเข้าใจที่ไม่เท่ากัน เหมือนที่โจโฉกล่าวว่า "นกน้อยใดเล่าจะเข้าใจถึงพญาเหยี่ยว"
ผู้ฝึกใหม่มักไม่มีสายตาที่ดีพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่สอนอยู่ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่ต้องการสอน
หากใช้เวลาขัดเกลาก็จะเพิ่มพูนทักษะของตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จะสามารถมองเห็นได้ แต่น่าเสียดายว่าสมัยนี้ผู้ฝึกมักไม่มีความอดทนขนาดนั้น
ส่วนมากฝึกกันเพียงไม่กี่ครั้งก็โดนอีโก้ของตัวเองบดบัง
คิดว่าตนทำได้แล้วบ้าง หรือ คิดว่าไม่รู้เรื่องแล้วเลิกดีกว่าบ้าง ทำให้เปอร์เซ็นต์ผู้ฝึกใหม่ส่วนมากจะเลิกกันเกือบหมด
โดยเฉพาะพวกที่คิดว่าตนทำได้แล้วก็มักทำตัวเป็นพวกน้ำเต็มแก้วจนไม่มีการพัฒนาเพิ่มเ​ติมไปอย่างน่าเสียดาย
โดยเรื่องแบบนี้ผู้สอนไม่สามารถช่วยได้ เป็นเรื่องที่คนต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง
หากไม่สามารถพิสูจน์ตนเองได้ว่าเป็นผู้เหมาะกับการฝึกผู้สอนเองก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาออกไปได้ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

การฝึกศิลปะการต่อสู้แบบของบูจินกันเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ยังเป็น​ส่วนสำคัญในการฝึก
เพราะในบูจินกันการฝึกนั้นถ่ายทอดออกมาด้วยความรู้สึก ความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงว่าทำท่าถูกแล้วจะถูกต้อง
ผู้สอนจะทำการพิจารณาผู้ฝึกว่าถึงระดับที่จะสามารถถ่ายทอดวิชาออกไปได้หรือไม่ โดยจะเป็นเรื่องของเฉพาะบุคคล
และระดับในการถ่ายทอดไปที่แต่ละคนก็ไม่ได้เท่ากันโดยขึ้นกับความสามารถของศิษย์ในระด​ับนั้น ๆ ด้วย
หากศิษย์ไม่สามารถทำให้ผู้สอนเชื่อมั่นว่าสามารถรับการถ่ายทอดได้ ทั้งในเรื่องของทักษะความสามารถ
นิสัยใจคอ ความอดทน ความเชื่อใจ ก็จะไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาในระดับต่อ ๆ ไปได้
ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่ผู้ฝึกใหม่จะถูกเน้นที่การฝึกพื้นฐาน เสียมากกว่าเทคนิค
โดยระหว่างนั้นก็จะถูกมองและตัดสินในทุก ๆ เรื่อง โดยใช้เวลานานก่อนที่จะได้รับการยอมรับเข้าสู่การฝึกที่จริงจังขึ้นไป
และ อย่างที่บอกว่าน่าเสียดาย มีคนจำนวนน้อยที่ผ่านจุดนั้นไปได้
แต่ในบูจินกันสิ่งนั้นกลับไม่ใช่ปัญหา เพราะ อาจารย์มาซึอะกิเองก็เน้นย้ำไว้
เรื่องที่หาคนดีเข้ามาฝึกไม่ใช่เน้นที่จำนวน โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าฝึกไม่ปิดกั้นได้โดยมีเงื่อนไขเดียวกัน


Thursday, September 19, 2013

ii kokoro


เมื่อประมาณสิงหาที่ผ่านมา หลังจากสมาชิกโรงฝึกสอบ sakki ผ่าน
เมื่อผมเข้าไปขอบคุณอาจารย์ที่ทำการสอบให้ อาจารย์มะซะอะกิได้กล่าว
เน้นย้ำให้หาคนที่มี ii kokoro เข้ามาฝึก

ii kokoro แปลว่า อะไร 
ii แปลว่า ดี 
kokoro แปลว่า หัวใจ 

แปลเป็นไทยจะได้ว่า ให้หาคนที่มีจิตใจดีงามเข้ามาฝึกนั่นเอง
เป็นการเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ยินมาตลอดระหว่างการฝึกในบูจินกัน
เพราะเป็นวิชาการต่อสู้ที่อันตราย หากสอนแก่คนไม่ดีไปก็อาจจะมีผลเสียในภายหลัง

ศิลปะการต่อสู้มักถูกถ่ายทอดลงมารุ่นต่อรุ่น และยังคงอยู่ได้ด้วยเหตุนี้ 
ที่อยู่ได้เพราะที่ตัวคนที่สืบทอดวิชามาเป็นรุ่น ๆ  และ ก็สืบหาคนสืบทอดกันต่อไป
แต่โดยมากไม่ต้องคัดคนอะไรมาก เพราะ วิชาก็เป็นผู้คัดคนเองอยู่แล้วพอสมควร
ถ้าคนไม่ขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ฝึกแล้วไม่ถูกจริตของตนเอง ฝึกไปไม่ว่าวิชาอะไรไม่นานก็เลิก
ส่วนคนที่อยู่ก็อยู่กันไปเรื่อย

ในบทบัญญัติของบูจินกันกล่าวไว้ว่า มีผู้มาเคาะประตูของบูจินกันจำนวนมาก
แต่ก็มีจำนวนมากเช่นกัน ที่เดินเข้ามาไม่ถึงข้างใน การฝึกศิลปะการต่อสู้นั้น
คนจำนวนมากตกหล่นอยู่ต้นทาง หลายคนอยู่กลางทาง มีคนจำนวนน้อยที่ยังเดินอยู่บนเส้นทาง
หลังเวลาผ่านไปหลายปี

ในหัวโขนที่ในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้มักจะใส่กันก็คือบทบาทของอาจารย์และศิษย์
คนส่วนมากพอนาน ๆ ไปก็มักมีสองบทบาทนี้มาสวมในเวลาเดียวกัน
ทางที่ดีที่สุดคือเป็นอาจารยืที่ดี และ ลูกศิษย์ที่ดีในเวลาเดียวกันให้ได้

คนส่วนมากเริ่มต้นด้วยใจกระตือรือร้นที่จะฝึก แต่หลายคนฝึกไปนานเข้าก็อีโก้จะเริ่มสูง
พออีโก้เริ่มแล้วก็เริ่มไม่อยากฝึก เริ่มรู้สึกตัวเก่ง เริ่มอยากสอนคนอื่นมากกว่าฝึกตัวเอง
จนเริ่มขาดการฝึกฝน ไปเปิดสอนเอง เริ่มขาดครูบาอาจารย์ แล้วก็จะเริ่มเคว้งจนจับหลักจับทางไม่ถูก
พอออกสอนสักพักบรรดาลูกศิษย์จะเริ่มตามครูทัน แล้วครูก็ไม่รู้จะสอนอะไรต่อเพราะเลิกฝึกฝนตัวแล้ว
จนในที่สุดก็เลิกกันไปหมดทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์แบบนี้พบเจอได้บ่อยมากในวงการศิลปะการต่อสู้
ลูกศิษย์เก่งกว่าอาจารย์เป็นไปได้เมื่ออาจารย์คนนั้น ๆ เลิกฝึกฝนตัวเองแล้ว

วิธีปรามตัวเองง่าย ๆ ไม่ให้อีโก้สูง ที่มักใช้แนะนำตัวเองและคนอื่นบ่อย ๆ คือ
เมื่อรู้สึกตัวเองเก่งเมื่อไรอยากให้ลองมองดูครูบาอาจารย์เราแต่ละคน
ว่าท่านยังเก่งกว่าเราแค่ไหน ในโรงฝึกเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน
ในวิชาเรายังมีคนเก่งกว่าเราแค่ไหน เมื่อได้เห็นแล้วก็จะรู้ว่าทางเดินเรายังอีกไกล
อาจารย์ของกว่าสิบปีที่เจอกัน เราว่าเราก็พัฒนาขึ้นมาเยอะ แต่ก็ยังตามไม่ทันแกสักที
ส่วนหนึ่งก็เพราะแกเองก็ยังพัฒนาขึ้นตลอดเวลาไม่ได้หยุดอยู่กลับที่ให้เราตามหลัง
การมีครูอาจารย์ที่ดีก็ดีแบบนี้นี่เอง

ส่วนการเป็นศิษย์ที่ดี ให้ลองหากระดาษปากกามาเขียนดูเป็นข้อ ๆ ว่า
ลักษณะศิษย์ที่เราต้องการเป็นอย่างไรเมื่อเปิดสอน เช่น ขยันหมั่นเพียร
ตั้งใจฝึกฝน สุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน ฯลฯ พอเสร็จก็มาลองนั่งดูว่า
หากเราอยากได้ศิษย์แบบนี้แล้ว แล้วตัวเราเป็นศิษย์ที่มีลักษณะแบบนี้ด้วยไหม
หากเราไม่มีก็ทำตัวให้มีซะ ถึงแม้เมื่อไรจะคิดว่าตัวเองเก่งแล้วแต่นั่นโดยมาก
เป็นเพียงความคิดของตนเอง(ที่คนเขาเรียกหลงตัวเอง)  บางทีเราจะยังมองหลาย ๆ อย่างไม่ออก
ครูอาจารย์หลายท่านถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ไม่หมดไม่เท่ากัน ขึ้นกับหลาย ๆ ที่ต้องพิจารณา
เมื่อศิษย์ไม่ถึงขั้นที่จะรับได้ถ่ายทอดไปไม่มีประโยชน์ เมื่อศิษย์จิตใจยังไม่ดีพอก็ยากที่จะรับ

ยกตัวอย่างถ้าคนสอนยิงปืนอยู่ ถ้าคนที่คิดจะเอาแต่ค่าสอนก็คงไม่ได้สนใจว่าคนมาเรียนคือใคร
แต่ครูที่ดีคงต้องเลือกว่าใครควรจะเรียนได้ ใครควรจะเรียนไม่ได้
เด็ก ๆ ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่ดีควรเรียนได้ไหม คนที่เคยมีประวัติเสื่อมเสียควรให้เรียนไหม
ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาของครูที่ต้องเลือกว่าจะทำยังไงกับคนสมัครเข้ามา
ในศิลปะการต่อสู้เองก็ไม่ต่างกัน



 








Saturday, August 24, 2013

กฏและคําสอนของโรงฝึกบูจินกัน


เมื่อไม่นานมานี้อาจารย์ชิราอิชิได้มอบสำเนากฏและคำสอนของโรงฝึกที่ถ่ายทอดต่อกันมาให้
คำสอนนี้มาจากอาจารย์ของอาจารย์ทากามะซึ คืออาจารย์ โทดะ มะซะมิซึ
เป็นผู้สืบทอดลำดับที่ 32 ของโตกาคุเระ ริว นินจุสสุ และ ริวอื่น ๆ ที่อยู่ในบูจินกัน
นอกจากนั้นยังเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนแรกของ
โรงเรียนทหารของโตกุกาวะในเกียวโตในอดีต ซึ่งในเวลาต่อมาวิชา
ที่ถูกสืบทอดมาก็ถูกถ่ายทอดมาสู่อาจารย์ทากามะซึซึ่งเป็นสมาชิกในตระกูลโทดะ




กฏและคำสอนของโรงฝึกที่ถูกถ่ายทอดมาจากอาจารย์ โทดะ มะซะมิซึ

1. ตระหนักว่าความอดทนต้องมาเป็นอันดับแรก
2. ตระหนักว่าวิธีแห่งมนุษย์มาจากความถูกต้อง
3. ละทิ้ง ความโลภ ความขี้เกียจ และ ความดันทุรัง
4. ตระหนักว่าความเสียใจ ความกังวล และ ความขุ่นเคือง เป็นเรื่องธรรมชาติ และ จงค้นหาจิตที่มั่นคง
5. ยึดมั่นบนแนวทางของความซื่อสัตย์และความกตัญญู มีเป้าหมายค้นหาหนทางของปรัชญาและศิลปะการต่อสู้

เมจิที่23 วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ
โทดะ ชินริวเคน มะซะมิซึ



Wednesday, August 21, 2013

Sakki test อีกประตูที่ต้องผ่านในการสอบสายดำขั้นที่ห้า


เดือนที่ผ่านมากลุ่มลูกศิษย์ของผมเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อนเข้าฝึกบูจินกันที่โรงฝึกฮอมบู
และ หนึ่งในนั้นที่ปัจจุบันครองสายดำอันดับที่สี่อยู่ก็ได้รับอนุญาติให้สอบสายดำระดับห้า
แล้วก็สามารถผ่านการสอบมาได้

ในวิชาบูจินกันนั้นจริง ๆ แล้วจะมีการสอบที่จริงจังที่สุดในระดับเดียว คือ สายดำขั้นที่ห้า
จะมีการสอบที่เรียกว่า sakki test ทำการสอบง่าย ๆ ด้วยการนั่งทำให้จิตว่าง และ
จะถูกดาบฟันจากด้านหลัง ผลดูง่าย ๆ ถ้าหลบได้ก็ผ่าน หลบไม่ได้ก็ตก
เป็นการวัดสัมผัสรับรู้ของผู้สอบ

โดยที่มาของการสอบนี้คือ ครั้งหนึ่งเมื่ออาจารย์มะซะอะกิ เข้าฝึกกับ อาจารย์ทากามะซึ
อาจารย์ทากามะซึให้อาจารย์มะซะอะกินั่งรอเงียบ ๆ อยู่ในห้อง เมื่อนั่งไปสักพักหนึ่ง
อาจารย์มะซะอะกิรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลังทำให้ต้องกลิ้งหลบออกไป
แล้วจีงเห็นว่าเป็นอาจารย์ทากามะซึที่ยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับดาบในมือที่ฟันลงมาแล้ว
ในที่ ๆ อาจารย์มะซะอะกิเคยนั่งอยู่  ต่อมาอาจารย์มาซะอะกิจึงนำการสอบนี้มาใช้ทดสอบ
สายดำระดับหน้าของบูจินกัน ซึ่งเป้นสายสำคัญเนื่องจากผู้ที่ผ่านสายดำระดับห้าจะได้รับตำแหน่ง
ชิโดชิ (แปลว่า ผู้ชี้ทางในการต่อสู้) หรือ ตำแหน่งผู้ฝึกสอน เป็นอาจารย์ที่สามารถสอนบุคคลอื่น ๆ ได้

ความรู้สึกนั้นถึงแม้จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
เช่น ความรู้สึกกระหาย รัก ชอบ โกรธ หิว ที่เป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์
การฝึกสัมผัสรับรู้นั้นจะว่าไปก็มีอยู่ในทุกศิลปะการต่อสู้
นักศิลปะการต่อที่ฝึกมามาก ๆ บางครั้งคู่ต่อสู้กำลังจะขยับก็พอรู้ได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หรืออีกฝ่ายกำลังจะเตะพอเห็นก็ทราบแล้วว่าจะเตะ จะทำให้ขยับได้ก่อนอีกฝ่าย
หากมองในอดีตมนุษย์เองก็ต้องใช้สัมผัสนี้เพื่อการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอาตัวรอด
การหาอาหาร จนถึงกระทั่งการสงครามหลายครั้งอาจจะเรียกว่าความสังหรณ์ว่า
ศัตรูจะมากจากทางนี้ ๆ ซึ่งการรับรู้นั้นมาจากหลายปัจจัย

สัมผัสรับรู้นั้นปรกติแล้วมีอยู่ในทุกคน
ยกตัวอย่างเช่น บางทีเราจะรู้สึกว่ามีคนจ้องมีคนแอบมองอยู่ เมื่อหันไปก็พบคนมองอยู่จริง ๆ
ความรู้สึกว่าคน ๆ นั้นชอบเรา หรือ โกรธ เกลียดเรา
หรือ บางทีมีสิ่งของที่ลอยมาหาเราคนส่วนมากก็จะรู้สึกได้
โดยที่ไม่ต้องหันไปมอง บางคนสัมผัสได้บางคนสัมผัสไม่ได้
แต่หลายครั้งหลังจากสัมผัสได้ปฏิกิริยาโต้ตอบของคนทั่วไปอาจจะตอบสนองไม่ทัน
บางทีเห็นอยู่ตรงหน้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่น
รถบางคันที่ชนโดยคนขับไม่แม้แต่จะแตะเบรคทั้ง ๆ ที่เห็นตรงหน้า
หรือ ครั้งหนึ่งเมื่อมีรายการมาถ่ายทำที่โรงฝึก พิธีกรขอเข้าร่วมฝึกด้วย
ขณะซ้อมเมื่อมีการซ้อมโดยใช้พลองฟาดไปที่หน้า พิธีกรคนนั้นก็ไม่แม้แต่จะขยับหน้าหนี
ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์จริงก็คงอาการหนักไปแล้ว

การสอบ sakki test นั้นไม่ง่าย และ ไม่ยาก ผู้ที่ควรจะสอบผ่านก็มักจะผ่าน
ผู้ที่ไม่ถึงเวลาที่จะสอบผ่านก็ไม่ผ่าน จะอยู่ที่การรับรู้ส่วนตัว
ซึ่งโดยมากหลังจากการผ่านการฝึกมาเป็นเวลานาน
ผู้ฝึกที่ได้รับการฝึกสม่ำเสมออย่างถูกทาง โดยตัวชิโดชิผู้สอนที่ถ่ายทอดการฝึกที่ถูกต้อง
ก็มักจะได้รับความรับรู้นี้ติดตัวมาได้

การสอบ sakki เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่อธิบายให้คนทั่วไปทราบยาก
เหมือนกับ skill หลายอย่างในโลก เช่น ผลของการนั่งสมาธิในพุทธศาสนา
ที่คนที่จะรับรู้ผลได้ก็มีแต่ตัวเอง สิ่งที่ทำง่ายก็แค่ นั่งหลับตา

การรับความรู้สึกว่าดาบจะมา และ หลบออกไป บางคนอาจดูเหมือนง่ายว่า
อาจจะได้ยินเสียง รู้สึกว่ามีการขยับ หรือ นับรอจังหวะ
ซึ่งในความเป็นจริง ๆ แล้วในตอนสอบสิ่งพวกนั้นใช้ไม่ได้เลย
การฟันนั้นเริ่มจากท่าฟันระดับสูง เมื่อดาบฟาดลงมามีเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีทีจะรู้สึก
ถ้ามัวไปรอฟังอยู่ก็ไม่ทันแน่ ๆ เพราะ อาจารย์ที่ฟันก็เป็นนักดาบทั้งนั้น
เรื่องเสียงนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มี
และผู้สอบที่สอบผ่านโดยมากไม่ได้รอให้ดาบฟาดลงมาแล้ว แต่เริ่มขยับตั้งแต่ดาบเริ่มขยับ
หลายครั้งเคยมีที่บางคนมาสอบแล้วรับรู้ได้แล้วแต่ขยับไม่ได้ และ
เคยมีคนที่ช๊อคตรงที่สอบจนต้องเรียกรถพยาบาลด้วย

ในอดีตคนที่จะเข้าสอบสายดำขั้นห้าทุกคน จะได้รับการสอบจากอาจารย์มาซะอะกิ
ปัจจุบันอาจารย์มาซะอะกิเริ่มให้สายดำสายดำระดับสิบระดับคุ (ขั้นที่ 15) มาทำการสอบ
ซึ่งต้องอยู่ในสายตาของอาจารย์ระหว่างสอบเท่านั้น ดังนั้นจะมีแต่การสอบที่ญี่ปุ่นเท่านั้น
ปัจจุบันมีผู้สอบผ่านในระดับชิโดชิทั่วโลกประมาณสามพันคน

 แต่ใช่ว่าการฝึกจะจบลงเมื่อขึ้นสู่สายดำขั้นที่ห้า แต่การสอบนี้เป็นเหมือนเปิดประตูอีกบาน
ที่วัดว่าผู้ฝึกสามารถรับการฝึกในระดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ไหม ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัว
หลังจากผ่านการสอบครั้งนี้แล้ว อาจารย์ก็เปิดแสดงให้เห็นโลกอีกใบที่ทำให้
โลกเหมือนพลิกหัวพลิกหางอีกครั้ง และ ต้องกลับไปเริ่มการฝึก
ทำความเข้าใจในวิชากันใหม่อีกครั้ง

Ninpo Ikkan!





Thursday, August 8, 2013

ว่าด้วยเรื่องนินโปอีกครั้ง


ปัจจุบันเวลาพูดถึงนินจุสสุ ภาพพจน์ของนินจุสสุมักกลายเป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริง
บ้างมองว่าป่าเถื่อนบ้าง โหดร้ายบ้าง เป็นนักฆ่าบ้าง บ้างมองเป็นยอดมนุษย์บ้าง
เพราะสื่อต่าง ๆ ที่ออกมาในรูปนั้น และ คนก็มักเชื่อแบบนั้นเสียด้วย
ตั้งแต่อดีตมาการต่อสู้ของนินโป หรือ นินจุสสุ ในความจริงแล้วกลับมองกลับกันเลยทีเดียว

ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แบบนินจุสสุหรือที่เราเรียกกันว่านินจานั้นไม่จำเป็น
ที่จะต้องเป็นผู้เชียวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับเป็นผู้ที่เข้าใจถึงวิธีต่อสู้เสียมากกว่า

วิธีต่อสู้หมายถึงอะไร?

ในหนังสือตำราพิชัยสงครามซูนวูมีการพูดถึงการใช้ไฟ ซึ่งมีความหมายถึงการใช้สายลับ
แยกสายลับออกไปหลาย ๆ ประเภท ตำรานี้ก็มักเห็นมีเขียนอ้างถึงในตำราโบราณของญี่ปุ่น
มองจากในอดีตประวัติการใช้งานนินจาของญี่ปุ่นมีมานานมาก
ใช้ในทั้งยามสงบและสงคราม งานที่ทำมีหลากหลาย นินจาชื่อดังมีอยู่พอสมควร
แต่เมื่อมองดูลึก ๆ ในแต่ละคนแล้วมักไม่ได้โด่งดังจากการเป็นนักศิลปะการต่อสู้เท่าไรนัก
หลายคนดังด้านการเป็นนักยุทธศาสตร์ นักวางแผนการรบ
บ้างดังจากการขโมย บ้างดังจากการพยายามลอบสังหารคนสำคัญ
บ้างดังจากตำนานเล่าลือต่าง ๆ

เมื่อมองกันจริงๆ จะกลายเป็น นินจามีชีวิตอยู่เพื่อภารกิจต่างๆ มากกว่า
ศิลปะการต่อสู้เป็นส่วนประกอบหนึ่งๆ ของนินโปที่มีมาเพื่อเอาชีวิตรอดจากความตาย
ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้เพียงเท่านั้น

หากมองในด้านการรบพุ่งสมัยก่อน
สำหรับนินจาความสำเร็จในของนินจาไม่ได้อยู่กับการเอาชนะการต่อสู้เสมอไป
เช่น บางส่วนของนินจาอาจจะต้องไปเข้าปะทะคู่ต่อสู้เพื่อดึงความสนใจ
ส่วนอีกฝ่ายนึงก็เข้าไปเผ่าเสบียงของคู่ต่อสู้ เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งทีมก็ถือว่าทำงานได้สำเร็จ
การเอาตัวรอดถึงมีความสำคัญมาก

เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการรบในสมัยก่อน
และ การศึกทั้งหลาย นินจาจึงต้องเรียนต้องฝึกศิลปะการต่อสู้จำนวนมาก
เพื่อให้มีความคล่องตัวในแต่ละสถานการณ์​
รวมทั้งฝึกยุทธวิธีและกลยุทธต่าง ๆ  อย่างในโตกาคุเระ ริว มี นินจา จูฮัคไค
ส่วนความชำนาณ..แน่นอนว่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน

นิทานเรื่องนึงที่ผมชอบมาก เพราะ แสดงวิธีการต่อสู้แบบนินจุสสุ คือ

ในอดีตมีนักดาบคนหนึ่งที่ท้าประลองกับนินจาคนหนึ่ง โดยมีกำหนดการในอีกสัปดาห์หน้า
(โดยไม่รู้ว่าทราบหรือไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นนินจา)
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถึงวันประลองก็คือ มีเฉพาะนินจาที่มาสู้ลานประลอง
ส่วนนักดาบคนที่เป็นคนท้า กลับป่วยเป็นโรคปัจจุบันเสียชีวิตไปเสียก่อน...

คงไม่ต้องเล่าว่าโรคที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร

เคยมีรายการมาสัมภาษณ์อาจารย์มาซะอะกิว่า เวลาสอนวิชานินจานี่สอนอะไร
ท่านตอบง่าย ๆ ว่าท่านสอนวิธีเอาตัวรอดให้กับศิษย์

วิชาของโตกาคุเระ ริว นินโป โดดเด่นในเรื่องการเอาตัวรอด
ดังนั้นอาวุธที่ใช้ของสำนักนี้จะเห็นชัดคือ มีการใช้ ชูชิเคน, ไฟ, ควัน, กับดัก, ชูโกะ, ..
เพื่อที่จะใช้หลบหนีจากคู่ต่อสู้ และ หลบจากสายตาคู่ต่อสู้มากกว่าการปะทะซึ่งหน้า
ซึ่งถ้ามองจริง ๆ ลักษณะงานสายลับในสงคราม หากบุกไปหาคู่ต่อสู้ด้วยจำนวนน้อย
ถ้าจะบุกไปลุยสู้ซึ่ง  ๆ หน้าแม้จะเก่งยังไงก็คงไม่รอด
แต่หากหลบรอดมีชีวิตรอดก็ยังสามารถสู้ต่อไปภายหน้าได้

นอกจากนั้นในนินโปเป็นการสอนให้คิดมากกว่าการทำตาม
เพราะการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องสู้ตรง ๆ เสมอไป ครั้ง โตกาคุชิ ไดซุเกะ ผู้ก่อตั้งสำนักโตกาคุเระ
ถูกไล่ล่าจากตระกูลเฮะเค ในสงครามคุริคาระ ใช้กลยุทธหลอกอีกกองทัพศัตรูด้วยการใช้
ไฟผู้ติดกับเขาวัวแต่ละข้าง แล้วปล่อยวัวฝูงใหญ่พุ่งเข้าหาฝ่ายศัตรู
จนอีกฝ่ายต้องถอยร่น จนได้รับชัยชนะในที่สุด (ยุทธวิธีที่ใช้เชื่อว่ามาจากกลยุทธของจีนอีกทีหนึ่ง)

ในยุคสมัยของซามูไรและนักดาบ หลายครั้งที่เรื่องของการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้
จะขอเล่าเรื่องของนักดาบในตำนานคนหนึ่งคือ ซีคาฮะระ โบคุเด็น

โบคุเด็น เป็นหนึ่งในยอดนักดาบในต้นยุคเซ็นโกคุ ที่ไม่เคยแพ้ใคร
ในการต่อสู้ทั้งในสนามรบและการประลองถึง 37 ครั้ง
ภายหลังมีชื่อเสียงเทียบเคียงมิยาโมโต มุซาชิ
แต่เมื่ออายุมากขึ้นท่านมองเห็นการต่อสู้เป็นเรื่องน่าเบื่อ และ หลีกเลี่ยงการใช้กำลังมากกว่า

ครั้งหนึ่งโบคุเด็นในอายุห้าสิบกว่าปี ถูกท้าประลองอย่างไร้มารยาทจากนักเลงคนหนึ่งบนเรือข้ามฟาก
นักเลงคนนั้นถามว่าโบคุเด็นใช้วิชาอะไร ซึ่งท่านตอบว่า วิชาของฉันต่างจากท่านมาก
ไม่ใช่วิชาที่จะถูกเอาชนะ และ ไม่ใช่วิชาที่ใช้เอาชนะ ชื่อวิชา Mutekatsu ryu (แปลว่า เอาชนะด้วยมือเปล่า)
นักเลงคนนั้นได้ยินก็สั่งให้นายท้ายนำเรือเทียบเกาะเล็ก ๆ เพื่อจะได้ประลองกัน
เมื่อใกล้ถึงฝั่งนักเลงกระโดดลงน้ำแล้วลุยขึ้นฝั่ง ส่วนโบคุเด็นก็เอาไม้จากนายท้าย
ยันเรือออกจากฝั่งไปสู้น้ำลึก ด้วยความตกใจนักเลงตะโกนโวยวายถาม
โบคุเด็นก็หัวเราะตะโกนกลับไปว่า นี่แหละวิชาไร้ดาบล่ะ

โบคุเด็นเป็นนักดาบในตำนานคนหนึ่งในไม่กี่คนที่มีชีวิตอยู่และเสียชีวิตเพราะความชรา
แต่นักดาบโดยมากอยู่ไม่ค่อยได้ถึงจุดนั้น

เป้าหมายของการฝึกบูจินกันในที่สุดแล้วดูได้จาก บทบัญญัติของโรงฝึก ในข้อสุดท้าย
"ความลับของไทจุสสุ คือ เข้าใจถึงที่มาของความสงบสุข"
และ "การฝึกเป็นหนทางเพื่อสร้างหัวใจที่ไม่สั่นไหว"


Bufu Ikkan!


Friday, June 21, 2013

ธุรกิจ กับ อีโก้ ในศิลปะการต่อสู้



เพิ่งได้อ่านบทความของเพื่อนชาวต่างชาติคนนึง
เขียนเกี่ยวกับคนสอนศิลปะการต่อสู้ว่ามีอยู่สองแบบ คือ

1. ธุรกิจ  
2. อีโก้

สมัยก่อนนั้นศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่ธุรกิจ ส่วนมากครูสอนด้วยอีโก้กันล้วน ๆ
(อีโก้ในที่นี้ คือ ความเป็นตัวของตัวเองสูงไม่ได้หมายความไม่ดีนะครับ)
เราจะเคยได้ยินเรื่องการฝึกที่ รับศิษย์ยาก ฝึกแบบไม่ง้อว่าจะอยู่หรือจะไป
โรงฝึกแบบนี้ก็มีอยู่ในปัจจุบันนะครับ

แต่หลัง ๆ มานี้โรงฝึกทั่วโลก เป็นแบบแรกมากกว่าแบบที่สอง
ที่กลายเป็นมองว่าเป็นลูกศิษย์เป็นลูกค้ามากกว่า
ถ้าใครอ่านเวปต่างประเทศหลัง ๆ เขาเขียนกันว่าMcDojo (แม็คโดโจ)
ซึ่งก็คือรูปแบบของเฟรนไซด์ มีการบริการลูกค้า ครูฝึกมักไม่มีสิทธิมีเสียงในโรงฝึกประเภทนี้
คนที่จะมีสิทธิ์กลายเป็นเจ้าของกิจการไป เพราะ จ้างครูฝึกมาสอน แล้วครูฝึกรับเงินจาก
เจ้าของกิจการอีกที ข้อเสียก็รู้ๆ ครับ บางทีคนมาเรียนน่ะเป็นเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้เรียน
บางทีเด็กเองไม่ได้อยากเรียนก็ทำตัวมีปัญหา ครูจะให้เด็กออกก็ไม่ได้ เพราะ ไม่มีอำนาจ
ส่วนเจ้าของกิจการก็ไม่ให้เด็กออกเพราะเรื่องเงินๆ ทอง ๆ ค้ำคอ มันเลยเละเทะไปเรื่อย

สมัยก่อนทำไมการสอนอยู่ด้วยอีโก้อยู่กันได้ ก็เพราะครูผู้สอนไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจ
ดังนั้นครูผู้สอนเกือบทุกคนก็มีงานมีการทำกันครับ
เหมือนที่อาจารย์ชิราอิชิ ชอบสอนว่าให้แบ่งเวลา ทำงาน เรียน ฝึกให้ดี
ถ้าทุกอย่างทำได้สำเร็จ ถึงจะเรียกว่าฝึกได้ประสบความสำเร็จจริง
ไม่ใช่ว่าฝึกอย่างเดียวจนทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น
ใช้ชีวิตเอาตัวรอดไม่ได้จะเรียกฝึกสำเร็จได้ยังไง

อาจารย์มาซึอะกิเองเมื่อก่อนเป็นหมอกระดูก อาจารย์ชิราอิชิมีบริษัทของตน
แล้วส่วนมากในญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดก็เป็นพนักงานบริษัทบ้าง ราชการบ้าง  
ผมเคยอ่านเวปของสำนักยางิว ชินคาเกะ ริวเอง ก็ยังเขียนว่าอาจารย์ก็เป็นพนักงานบริษัทเหมือนกัน
โรงฝึกในญี่ปุ่นเองส่วนมากไม่มีการสอนคอร์สส่วนตัวแบบฝรั่ง เพราะแบบนี้แหละครับ
เมื่อไรที่โรงฝึกต้องอยู่ด้วยเงินของนักเรียน เมื่อนั้นจะกลายเป็น McDojo ไป
แต่เมื่ออาจารย์ไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจกับศิลปะการต่อสู้สามารถเคี่ยวนักเรียนได้เต็มที่

อีกอย่างนึงพอไม่ต้องสนใจเรื่องเงินมากก็ไม่ต้องสอนให้ราคาแพงมาก
ลูกศิษย์ที่ตั้งใจมาฝึกก็ได้ประโยชน์เต็ม ๆ  
จนบางทีดูแปลกดีครับ ที่ ๆ สอนวิชาแบบถูกต้อง อาจารย์สอนแบบถูกต้อง
ไม่สนใจเรื่องเงินก็สอนกันถูก ๆ เพราะเน้นการเผยแพร่วิชา
เพราะ แพงไปกลัวลูกศิษย์ที่ตั้งใจจะเรียนไม่ได้ ในไทยมีอาจารย์น่านับถือแบบนี้ก็เยอะ
ส่วนบางทีคนเปิดโรงฝึกมาสอนวิชาเป็นธุรกิจ บางที่สอนวิชาปลอมแบบไม่ถูกต้อง
กลับคิดราคาแพงกว่าเสียอย่างงั้น  

แต่จะดูที่ราคาอย่างเดียวก็ไม่ถูก บางทีที่ๆ สอนถูก ๆ สอนฟรีกลับกลายเป็นของปลอมก็มีเยอะ
เหมือนกับที่เคยเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ต้องดูกันดี ๆ
ผมเองเคยเจอมาเยอะ เมื่อก่อนก็เคยคิดว่าคนในวงการนี้เรียกตัวเองเป็นอาจารย์
จะมีเกียรติไม่น่าหลอกกัน แต่ยิ่งอยู่นานเข้า ๆ เจอกับตัวถึงได้รู้ว่า ไม่ใช่อย่างที่คิด
ไม่ใช่แต่เฉพาะเมืองไทย เพราะที่เจอมาที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน  

อันนี้ต้องอยู่กับคนมาฝึกแล้วครับ ว่าจะเลือกที่ฝึกของตนแบบไหน
บางทีเราคิดว่าเราเลือกวิชาที่ฝึก แต่บางทีแล้ววิชานี่แหละที่จะเลือกคนมาฝึกเอง






เวลาและการเรียนรู้ในบูโด


เขียนไปในเรื่องก่อนหน้าว่าอาจารย์ชิราอิชิ อายุเจ็ดสิบปีแล้ว และ อาจารย์มาซึอะกิอายุ แปดสิบปีแล้ว
บางคนอาจจะว่า ทำไมอาจารย์ระดับนี้ถึงยังมาฝึกกันอยู่อีก บ้านเราส่วนมากอายุขนาดนี้ก็ไม่ออกไปไหนกันแล้ว
สำหรับบูจินกันฝึกกันนาน ๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องดูที่ไหนไกลในโรงฝึกไทยเรานี่เอง
สิบกว่าปีที่ผ่านมาบางคนก็ฝึกตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา และฝึกมาจนถึงป่านนี้ที่กลายเป็นคนทำงานมีลูกกันไปแล้ว
ถ้าที่ต่างประเทศนี่ก็ฝึกกันจนตายไปข้างนึงเลยทีเดียว
คนไม่เข้าใจก็สงสัย….ฝึกอะไรกัน ทำไมใช้เวลาขนาดนั้น
ถ้าตอบสั้น ๆ ก็ว่า ศิลปะการต่อสู้นั้นใช้เวลาการเรียนรู้ทั้งชีวิต ไม่มีวันจบ
แต่ขออธิบายขึ้นมาหน่อย
ถ้าฝึกถูกทางคุณจะพัฒนาตนเองได้เรื่อย ๆ  ไม่จำกัดเวลาและอายุ
ยิ่งมาอายุมากขึ้นสิ่งที่เคยมีจะไม่มี สิ่งที่ไม่มีก็จะมี มันจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ได้ทั้งทางดีและไม่ดี
ไม่ว่าเทคนิคท่าทาง ความคิด ความเข้าใจทั้งหลายมันจะเปลี่ยนไป
เหมือนกับที่เราเห็นคนที่สมัยหนุ่ม ๆ สำมะเลเทเมา แต่พอแก่ก็เข้าวัดเข้าวานั่นแหละครับ
ร่างกายที่จากหนุ่มมีพลัง มีกล้ามเนื้อสวยงาม พอผ่านการใช้งานมากขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ทันไร
ก็เปลี่ยนไปเป็นไม่มีพลังและไม่มีกล้ามเนื้อ จะใช้วิธีเดิม ๆ ที่ฝึกมาแต่หนุ่มก็ไม่ได้
ก็ปรับก็แก้กันไปตามความเหมาะสม อะไรที่สมัยก่อนมองไม่เห็นหรือเข้าใจผิด
ฝึกนานไป ๆ ก็เริ่มมองเห็นขึ้นชัดขึ้น ถ้าไม่หลับตาหรือเลิกมองมันซะก่อน
สมัยหนุ่ม ๆ ใช้ร่างกายดี ๆ เข้าสู้ด้วยพลัง พอสักสามสี่สิบก็เริ่มหมดพลังซะแล้ว
ในบูจินกัน นินโปเองไม่เหมือนวิชาอื่น ๆ  การฝึกของบูจินกัน ไม่มี structure ที่บังคับเจาะจง นี่คือสิ่งที่ต่างจากหลายวิชา
ที่ว่าลูกศิษย์จะต้องเรียนอะไรบ้างในแต่ละครั้ง ถึงแม้จะมีตำรา Ten Chi Jin ที่อาจารย์มาซึอะกิเคยทำไว้
แต่ก็เป็นเพียง Reference  ให้ผู้สอนทราบว่าตอนสอนในระดับเบื้องต้นควรสอนและผู้ฝึกควรรู้อะไรเป็นพื้นฐานขั้นต้น
แต่สิ่งที่ฝึกนั้นไม่ได้เป็นไปตามตำราเลย การฝึกของบูจินกันเองที่ถูกต้องแล้วจะไม่ยึดตามตำรา
แต่มาจากการฝึกที่ถ่ายทอดจากอาจารย์ ไม่ยึดตามท่าร่างหรือกาต้า (แต่มีกาต้า)
เพราะโดยมากการฝึกกาต้าจะต้องฝึกที่ henka
ดังนั้นจึงไม่สามารถเอามาสอบสายกันได้ว่า สายนี้ ๆ ต้องรู้เทคนิคอะไรแล้วบ้าง
เพราะทุกเทคนิคควรจะทำได้และพัฒนาควบคู่กันไปทั้งหมด
การฝึกวิชาอย่างบูจินกันเป็นวิชาที่เหมือยจะง่าย ดูง่าย ในสายตาคนไม่เข้าใจ
หรือ แม้กระทั่งคนมาฝึกด้วยกันเอง ผมชอบเอาไปเทียบกับคณิตศาสตร์
คุณมีเครื่องหมายและตัวเลขที่จำกัด เด็กประถมจนถึงปริญญาเอกใช้ตัวเลขเดียวกัน
ถ้าเด็กประถมเห็นเด็กมัธยมเขียนสมการขึ้นมาสักอัน
เด็กประถมจะเข้าใจความหมายในระดับตัวเองเท่านั้น คือ รู้ตัวเลขว่าคืออะไรและเครื่องหมายบวกลบคูณหาร
เด็กมัธยมเองก็มีความเข้าใจในระดับตนเอง และ เด็กปริญญาเอกก็ต้องเข้าใจลึกลงไปในแก่นของสมการนั้น ๆ
การฝึกศิลปะการต่อสู้มักเป็นแบบนี้ ปีสองปีแรกมักเป็นปีที่ผู้ฝึกยังใหม่ ๆ จากไม่รู้แล้วเริ่มรู้ขึ้นมา
จนบางทีก็หลงตนไปกลายเป็นคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังเหลืออะไรให้เรียนอีกมาก
แล้วก็เลือกทางอื่นเดินไปเสียก่อน
หากเราดูหัวข้อการฝึกของบูจินกันที่ผ่าน ๆ มา จะพบแนวการสอนที่วางไว้อย่างเป็นระบบ
ช่วงยุค 80 เป็นช่วงเปิดวิชาต้น ๆ  สอนพื้นฐาน และ เน้นการใช้ไทจุสสุ (ในแบบของกาต้า)
ช่วงยุค 90 ตอนต้น เมื่อนักเรียนมีพื้นฐานกัน เคลื่อนไหวกันเริ่มได้ก็สอนอาวุธต่าง ๆ เช่น ดาบ พลอง ง้าว พลองสั้น ดาบสั้น หอก
ช่วงยุค 90 ตอนหลังเป็นต้นมา สอนวิชาของแต่ละสาย(9 ริว) เนื่องจากพื้นฐานทั้งมือเปล่าและอาวุธได้แล้ว
จนช่วงปลายยุค 2000 เริ่มสอนเข้าสู่นินโป และ ลึกลงไปในความเข้าใจเรื่องนินจุสสุ และ อาวุธที่ผสมผสานในระดับสูงขึ้นไปอีก
จะเห็นว่าการสอนของอาจารย์เรียงระดับ และเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนมานาน 20-30 ปี!
ที่จะเข้าสู่การฝึกของนินโป นินจุสสุ ที่ไม่ใช่แค่การฝึกท่าเท่านั้น
ดังนั้นคนที่เข้าฝึกหลายปีก่อนกับตอนนี้ บรรดาท่าร่างที่ใช้ฝึกต่าง ๆ แทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
อาจารย์มะซึอะกิ ถึงมักบอกว่าให้นักเรียนฝึกอย่างสม่ำเสมอ และเลือกครูผู้สอนที่ฝึกสม่ำเสมอเช่นกัน
ทำให้ในระบบของบูจินกันจึงมีการทำบัตรชิโดชิ(บัตรสมาคมผู้ฝึกสอน)ให้กับครูผู้สอน ที่ต้องต่ออายุทุกปี
เพราะต้องการคงคุณภาพของผู้สอน เพราะเราก็จะเห็นได้ว่าในต่างประเทศก็มีผู้สอนจำนวนมากโดยเฉพาะยุคแรก ๆ ฝึกปีสองปีไปเปิดโรงฝึก
แล้วก็เลิกฝึกตัวเองไปแล้ว บางทีฝึกมาปีสองปีเอาไปสอนเป็นสิบปีความรู้ตอนแรกไม่ถึงไหน และ ไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม (แล้วเอาอะไรไปสอน)
ยกตัวอย่าง อย่างที่เขียนไล่จำนวนปีข้างต้น หากคนเลิกฝึกไปเมื่อยุค 80 ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาวุธ ไม่ได้เรียนเรื่องนินโป ยังขาดความรู้อีกมาก
ยังไม่ได้ถึงระดับที่อาจารย์ต้องการถ่ายทอดออกมาด้วยซ้ำไป และ ยังไม่ได้รู้สิ่งที่อาจารย์สอนในช่วงหลัง ๆ
(นอกจากนั้นการเข้าฝึกกับอาจารย์ก็เป็นโอกาสดีที่คนสอนแต่ละคนจะเอาน้ำออกจากแก้วในแต่ละปี)
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ชิราอิชิก็เน้นย้ำสม่ำเสมอว่า อย่ารีบอย่าเร่งตัวเองเกินไป
คนแต่ละคนจะมีพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนขั้นบันไดทีละก้าว ๆ สูงขึ้นไป ขอให้ค้นหาตัวเอง ฝึกให้สนุก
เปิดหูเปิดตาตัวเองที่จะรู้อะไรใหม่ ๆ อย่ายึดติดกับสิ่งที่มีอยู่ และ เรียนรู้ไปแล้ว
แล้วช่วงนั้น เป็นหน้าที่ของนักเรียนที่จะฝึกฝนตนเองจนได้รับความไว้วางใจที่อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาในแต่ละขั้น ๆ ออกไป

Bufu Ikkan!

 

ย้ายบล๊อค


ย้ายบล๊อคจาก http://buyuth.wordpress.com
มาที่นี่แทนนะครับ เขียนสะดวกกว่า